Categories
series

รีวิวซีรีส์​ Succession season1: ซีรีส์ดราม่าสุดเข้มข้น ที่ถ่ายทอดสงครามการแย่งชิงธุรกิจ

Succession เป็นอีกหนึ่งผลงานซีรีส์ดราม่าจาก HBO ที่สร้างสรรค์โดย เจสซี่ อาร์มสตรอง (ซีรีส์​ Veep) โดยซีซั่นแรกออนแอร์เมื่อปี 2018 และได้กลายเป็นอีกหนึ่งปรากฎการณ์ซีรีส์น้ำดี ที่ได้คะแนนจาก Rotten Tomatoes ไปถึง 89% พร้อมถูกยกย่องให้เป็น Game of Thrones ยุคใหม่

เนื้อหาของซีรีส์จะว่าด้วยตระกูลรอย ครอบครัวมหาเศรษฐีแห่งอเมริกา ที่ทำธุรกิจด้านสื่อฯ ที่มีผู้ก่อตั้งคือ โลแกน รอย (ไบรอัน ค้อก) แต่ด้วยวัยของ โลแกน ที่กลายเป็นคนชรา มีอาการหลงๆ ลืมๆ และโรคประจำตัว ทำให้ แคนดัล (เจเรมี่ สตรอง) ลูกชายคนรองของตระกูลหวังจะทำหน้าที่ดูแลธุรกิจของครอบครัวแทนพ่อของเขา ทว่าด้วยสายตายของ โลแกนที่มองว่า แคนดัล ยังไม่คู่ควรกับธุรกิจนี้ ทำให้โลแกนยังคงเป็นเจ้าของบริษัท ในขณะที่แคนดัล ก็ได้ร่วมมือกับพี่น้องของเขาในการโค่นพ่อของตัวเองออกจากอำนาจ

แม้ว่าเนื้อหาของ Succession จะดูเป็นซีรีส์ธุรกิจ แต่เนื้อในของตัวซีรีส์นั้นมาพร้อมพลอตที่มีความเป็นสูตรสำเร็จที่คนไทยคุ้นเคยอย่างเรื่องสงครามชิงสมบัติภายในตระกูล โดยซีรีส์มีบริบทของธุรกิจเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนให้เรื่องราวดูเข้มข้น น่าติดตาม

จุดขายของซีรีส์คือการเล่นกับความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่ตลอดทั้งเรื่องผู้ชมจะได้เห็นสงครามจิตวิทยา ความขัดแย้งของแต่ละตัวละครหลักในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งของพี่น้อง พ่อลูก สามีและภรรยา รวมถึงเจ้านาย และลูกน้อง ที่ต่างเป็นกลไกขับเคลื่อนให้ซีรีส์ชุดนี้เดินหน้าอย่างลงตัว ทุกเส้นเรื่องถูกหยิบมาเชื่อมโยงกันด้วยบทที่ชาญฉลาด

หากเทียบกันให้เห็นภาพ Succession ไม่ต่างจากซีรีส์ Game of Thrones ที่เปลี่ยนมาอยู่ในบริบทของยุคปัจจุบัน ผู้ชมจะได้เห็นบทที่เชือดเฉือนไปมา ตัวละครที่มีความเป็นสีเทาๆ ไม่มีใครดี หรือร้ายอย่างสุดๆ และสงครามการชิงอำนาจ ที่เข้มข้น เต็มไปด้วยความพีคในตอนท้ายๆ

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม ไบรอัน ค้อก และ เจเรมี่ สตรอง ที่ต่างถ่ายทอดบทพ่อลูกได้เชือดเฉือนอารมณ์มาก ทั้งสองสามารถถ่ายทอดความอึดอัด กระอักกระอ่วนในความสัมพันธ์นี้ได้อย่างทรงพลัง ทำให้ทุกครั้งที่สองคนนี้เข้าฉากด้วยกันมักเต็มไปด้วยซีนอารมณ์ที่ดุเดือด ชวนลุ้น

โดยรวม Succession season 1 นับว่าเป็นอีกซีรีส์น้ำดีของ HBO ที่เปิดตัวมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งบทที่เข้มข้น การเล่าเรื่องที่สนุก น่าติดตาม ซึ่งเป็นความลงตัวที่ชวนให้นึกถึงความสำเร็จของซีรีส์ Game of Thrones ซีซั่นแรกๆ ใครที่ชอบซีรีส์หักเหลี่ยม เฉือนคม นี่คืออีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ Succession ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
series

From Now Showtime ซีรีส์เกาหลีว่าด้วยมายากลกับความลี้ลับสุดฮา

                ซีรีส์เกาหลีแกะกล่องที่น่าสนใจยังคงเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เนื้อเรื่องค่อนข้างขำมากพอสมควร ไม่มีใครคิดว่ามายากล ผี จะช่วยป้องกันอาชญากรรมได้ โดยซีรีส์เรื่องนี้มีชื่อว่า “From Now, Showtime!” โดยเปิดตัวในปี 2022 มีนักแสดงของเรื่องคือ ปาร์คแฮจิน จินกีจู มาเจอกันในฐานะพระนางของซีรีส์ โดยเริ่มออกอากาศตอนแรก 23 เมษายน ผ่านช่อง MBC ของเกาหลีใต้ หลายๆ คนที่อยากได้แบบเบาสมองพร้อมสืบสวนในตัว ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

ตัวละครที่น่าสนใจในเรื่อง คือ “ชาชาวุง” เป็นตัวละครที่ได้รับความนิยม ในเรื่องเป็นพระเอก โดยชอบเล่นอะไรที่ท้าทายชีวิต และเป็นนักมายากลทีวีที่มีรสนิยมงดงาม กลอุบาย มายากลที่แสดงของเขาทำให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ เขามีกลุ่มผู้ช่วยลับ! อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ผู้ช่วยของนักมายากลธรรมดา จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นผีผู้ช่วย แต่ชาชาวุงไม่กลัวสิ่งมีชีวิตจากโลกของวิญญาณ อันที่จริงเขาปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นพนักงานของเขา…และพวกเขากลับเชื่อว่าเขาเป็น “เจ้านาย” ของพวกเขา และพวกเขาสมัครใจเป็นผู้ช่วยของพวกเขา

อยู่มาวันหนึ่ง เส้นทางของเขาตัดกับเส้นทางของ “โกซึลแฮ” เจ้าหน้าที่ตำรวจสาวที่หลงใหลและสามารถเห็นผีได้ แต่กลัวความสามารถของเธอ เขาพยายามที่จะปัดเป่าเธอออกไปเมื่อเธอสืบสวนเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงมายากลของเขา แต่ในไม่ช้าเธอก็ตระหนักว่าความสามารถที่ไม่ธรรมดาของนักมายากลอาจเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบ เธอพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าร่วมกองกำลังตำรวจในความพยายามที่จะจับอาชญากรที่โหดร้าย และใช้บริวารที่น่ากลัวของเขาเพื่อช่วยสกัดกั้นผู้บงการที่ชั่วร้าย! แต่ในระหว่างการเป็นหุ้นส่วนนอกรีต ความโรแมนติกสามารถปรากฏตัวในที่เกิดเหตุได้หรือไม่? แล้วจะลงเอยยังไงดีสำหรับพระนางคู่นี้

                ด้วยความที่นางเอกค่อนข้างหัวร้อน บวกกับพระเอกที่ลึกลับไปเสียทุกอย่าง การจับกุมเป็นอะไรที่ยาก และเพื่อช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย บางทีแค่ใช้วิชาของมนุษย์ปกติเป็นอะไรที่ยากอยู่แล้ว แล้วยิ่งคดีนี้ยากขึ้นไปอีกจนต้องให้ทีมงานของพระเอกช่วยเหลือเพื่อคลี่คลายคดี อย่างไรก็ตาม ทีมงานพระเอกก็ไม่ค่อยเหมือนปุถุชนสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ ความสนุกน่าจะเต็มพิกัด หากใครสนใจอย่าลืมดูตอนแรกผ่านช่อง MBC ของเกาหลีใต้ได้ทันที หรือใครที่อยากดูผ่านสตรีมสามารถดูได้ที่ Viu เพราะสามารถดูได้และพร้อมออกอากาศอย่างแน่นอน

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รักยิ้มของเธอ ซีรี่ย์รักสดใสในโลกกีฬาออนไลน์จาก WeTV

“ลู่ซือเฉิน พี่เผด็จการจริงๆ” คำที่สาวน้อยถงเหยาพูดด้วยความอัดอั้นตันใจแทบตลอดเรื่อง ในขณะที่อีกฝ่ายมักจะเรียกเธอว่า ยายเตี้ย และมักจะถามถงเหยาว่า “สมองมีรอยหยักหรือเปล่า” เรียกรอยยิ้มจากผู้ชมได้ทุกตอนเพราะว่าภายใต้ท่าทางเย็นชาของลู่ซือเฉินทุกคนสามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ปกปิดเอาไว้

ซีรี่ส์ รักยิ้มของเธอ (Falling into your smile) เปิดตัวด้วยเรื่องราวของสาวน้อยถงเหยา เกมเมอร์สตรีมมิ่งมีแฟนคลับพอสมควร เธอเริ่มเล่นเกมเพราะแฟนเก่าชื่อ เจี่ยนหยาง ที่ได้กลายเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตระดับประเทศ จนสุดท้ายก็เลิกราเพราะเจี่ยนหยางขาดการติตต่อหายไปจากชีวิต

วันหนึ่งถงเหยาถูกทดสอบในระหว่างการเล่นเกมออนไลน์โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้น ZGDX หนึ่งในทีมอีสปอร์ตชั้นนำส่งเทียบเชิญให้ถงเหยาไปเป็นหนึ่งในทีมแข่ง ถงเหยาลังเลและตัดสินใจเดินทางไปดูการแข่งของ ZGDX กับ CK ที่มีเจี่ยนหยางนำทีม ถงเหยาตัดสินใจได้ว่าจะร่วมทีมกับ ZGDX หลังจบการแข่ง

เจี่ยนหยางพยายามจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเธอ แต่ในตอนนั้นถงเหยาได้จดจ่อที่จะเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตหญิงคนแรกของประเทศ แถม ZGDX ยังมี ลู่ซือเฉิน หัวหน้าทีมตัวสูงสุดหล่อขวัญใจสาวๆทั้งประเทศขวางทางอยู่

ลู่ซือเฉินเป็นคนเข้มงวดเย็นชาโดยเฉพาะกับถงเหยา  การติดต่อกับโลกภายนอกนั้นดูจะต้องผ่านการอนุมัติของเขาทุกอย่าง แถมยังเข้ามายุ่งแทบทุกเรื่อง กว่าจะมีใครทันรู้ตัวรวมทั้งถงเหยาด้วย ลู่ซือเฉิน เทพบุตรอีสปอร์ตแผนสูงก็ซึมลึกเข้ามาในหัวใจของถงเหยาเสียแล้ว

พล็อตเรื่องหนุ่มเย็นชาปากร้ายที่เพียบพร้อมทั้งสติปัญญา หน้าตาและฐานะ มาหลงรักผู้หญิงน่ารักแต่เตี้ย-หุ่นไม่ดี-กินเก่ง-ใสซื่อ-ท่าทางเปิ่นๆ พูดจาตรงไปตรงมา เป็นพล็อตฟินเนอเร่สูตรสำเร็จที่ใช้ได้ผลดีแทบทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน

แม้ว่าเฉิงเซียวที่รับบท ถงเหยา นอกจากจะสวย ไม่เตี้ย ไม่อ้วน แต่ด้วยวิธีการแสดงของเธอดูแล้วน่าเชื่อมากกับการเป็นผู้หญิงไม่โดดเด่นแต่ดูไปดูมาก็น่ารักจนทำให้คนหล่อๆมากมายมาขายขนมจีบ ในขณะที่การมีสวีข่ายผู้รับบทเป็นลู่ซือเฉินเป็นคนตัวสูงมากและยังหน้าตาดีแบบไม่ต้องตั้งคำถาม ทำให้เฉิงเซียวเหมาะกับการเป็นยายเตี้ยของลู่ซือเฉินจริงๆ

แม้ว่าพล็อตรองของเหล่านางรองพระรองไม่ค่อยโดดเด่นมากนักแต่ก็ไม่สำคัญอะไร เพราะพล็อตหลักดึงดูดคนดูอยู่หมัด

ในด้านงานโปรดักชั่นไม่มีอะไรต้องติเลย การแข่งขันเกมออนไลน์จะดูน่าสนุกสมจริงดีมาก แต่ที่น่าสนใจคือสาระที่สอดแทรกระหว่างบรรทัดเกี่ยวกับอีสปอร์ตที่เรื่องนี้ได้เปิดเผยเรื่องราวของนักกีฬาชนิดนี้ในมุมมองที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก

แต่แน่นอนว่าคนที่ไม่รู้จักหรือไม่ได้เข้าใจอะไรเลยกับกีฬาอีสปอร์ตอาจจะกลัวๆว่าจะดูไม่รู้เรื่อง แต่ว่าการไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรในการดู แนะนำว่าทำใจร่มๆดูฉากการต่อสู้ไปแบบผ่านๆ ค่อยๆเรียนรู้ไปกับเรื่องราวก็ได้ ไม่ต้องซีเรียส เพราะว่าอันที่จริงทุกคนก็รอลุ้นเด็กใหม่เปิ่นๆกับบอสสุดโหดว่าจะลงเอยกันอย่างไรได้มากกว่า..จริงมั้ย

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Nine Perfect Strangers: ซีรีส์ดราม่าที่นำเสนอปัญหาเรื่องปัญหาทางจิตของปัจเจกบุคคลพีค และช่วงท้ายที่ยอดเยี่ยม

อีกหนึ่งผลงานซีรีส์ดราม่า จาก Prime Videos ผลงานการสร้างสรรค์โดย เดวิด อี เคลลี่ (ซีรีส์ Big Little Lies) และ จอห์น-เฮนรี่ บัตเตอร์วอร์ธ (Ford V Ferrari) ที่เป็นงานรวมดาราดังมาไว้แบบคับจอมากที่สุด นำทีมโดย นิโคล คิดแมน (Aquaman), ลุ้ค อีแวนส์ (Dracula Untold), เมลิสซ่า แมคคาร์ธนีย์ (The Little Mermaid), ไมเคิล แชนนอน (Man of Steel), บ้อบบี้ คาร์นาเวล (Ant-Man) และ ชามาล่า วีฟวิง (Ready or Not)

เรื่องราวของ Nine Perfect Strangers จะว่าด้วยกลุ่มคนแปลกหน้า 9 คน ที่ได้เดินทางมายังบ้านพักอันห่างไกลของ มาช่า (นิโคล คิดแมน) เพื่อร่วมกันมาทำการบำบัดจิตใจ ด้วยวิธิการทำสมาธิในรูปแบบต่างๆ แต่ทว่าเมื่อดำเนินการบำบัดไปเรื่อยๆ พวกเขาและเธอก็พบว่ามีความไม่ชอบมาพากลบางอย่างของตัวมาช่า และวิธีการบำบัด จนนำมาสู่เหตุการณ์ชวนระทึกมากมาย

Nine Perfect Strangers เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เล่นกับบรรยากาศ และความระทึกในสถานที่ปิดตาย ห่างไกลจากโลกภายนอก ที่รวบรวมเหล่าผู้คนที่ไม่ปกติมาไว้ด้วยกัน กลิ่นอายจะชวนให้นึกถึงซีรีส์ White Lotus เพียงแต่ในเรื่องนี้ซีรีส์จะไม่ได้โฟกัสที่การพยายามผูกโยงเรื่องราว หรือเล่นกับความระทึกขวัญมากนัก แต่ซีรีส์จะหนักดราม่า โดยสำรวจมิติ และความเป็นมาของแต่ละตัวละคร

ความสนุกของซีรีส์คือการผสมผสานความดราม่า และความลึกลับ ระทึกขวัญ ได้อย่างลงตัว ผู้ชมจะได้เห็นปมของแต่ละตัวละคร ร่วมบำบัด และก้าวผ่านปัญหาชีวิตไปกับพวกเขาและเธอ ในขณะเดียวกันผู้ชมก็รับบทเป็นนักสืบ ที่ต้องไขความจริงของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเหตุการณ์ในแต่ละตอนก็ค่อยๆ ทวีความสนุก ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น

ด้านทีมนักแสดงนำ เรียกได้ว่าปล่อยของมาได้อย่างจัดเต็มทุกคน ไม่ว่าจะเป็น นิโคล คิดแมน ที่มาพร้อมบทสุดลึกลับ และเต็มไปด้วยปมในอดีตที่น่าค้นหา รวมถึง ไมเคิล แชนนอน ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เต็มไปด้วยพาร์ทดราม่า และคอเมดี้ ที่ยอดเยี่ยม แต่ที่ต้องชื่นชมคือบทของ เรจินา ฮอล (Scary Movies) ที่ครั้งนี้เธอสลัดบทตลก สู่บทดราม่าของคนที่มีปัญหาทางจิต ที่เธอถ่ายทอดออกมาได้อย่างถึงอารมณ์มากๆ

ในส่วนของข้อด้อยของซีรีส์ชุดนี้ คือการที่ซีรีส์มีความยาวเกินไปของเนื้อหาที่นำเสนอ เนื่องจากทั้ง 8 ตอนของซีรีส์ มีช่วงที่เนิบช้า น่าเบื่อ และเนื้อหาวนอยู่กับที่ในบ่อยครั้ง นอกจากนี้ประเด็นของซีรีส์ที่น่าจะสามารถหยิบประเด็นต่างๆ มาเล่าให้พีคได้มากกว่านี้ แต่ซีรีส์กลับค่อนข้างเพลย์เซฟ จนทำให้หลายๆ ช่วงดูดรอปลงไปอย่างน่าเสียดาย

โดยภาพรวม Nine Perfect Strangers เป็นซีรีส์ขายดราม่า ปนระทึกขวัญ ที่เล่าได้ชวนติดตาม ซีรีส์เล่นกับประเด็นจิตวิทยาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะพลังของนักแสดง ที่ปล่อยของกันแบบไม่มีกั้ก แม้ว่าจะมีช่วงที่น่าเบื่อไปบ้าง แต่ก็เป็น Limited Series แนวดราม่าที่หลายคนน่าจะชื่นชอบไม่น้อย

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Slow Horses season 1 อีกหนึ่งของดีจาก Apple TV+

ผลงานซีรีส์คุณภาพอีกเรื่องจาก Apple TV+ ที่มาในแนวสายลับ ระทึกขวัญ สร้างสรรค์โดย วิล สมิธ (ซีรีส์ Veep) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ มิค เฮอร์รอน โดยเวอร์ชั่นซีรีส์ได้ทีมนักแสดงมากฝีมือมาร่วมแสดงนำ นำทีมโดย แกรี่ โอลด์แมน (Mank), เจมส์ โลว์เดน (Dunkirk), คริสทิน สก้อต โทมัส (Military Wives) และ โอลิเวีย คุ้ก (ซีรีส์ House of the Dragon)

เรื่องราวของซีรีส์ Slow Horses จะว่าด้วยหน่วยสายลับที่มีชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของ MI5 โดยเป็นที่ที่รวมสายลับไม่เอาไหนขององค์กรมาไว้ด้วยกัน นำทีมโดย แจ็คสัน แลมป์ (แกรี่ โอลด์แมน) หัวหน้าทีมวัยเก๋า ที่ทำงานอย่างเอื่อยเฉื่อย เหตุการณ์ของเรื่องเริ่มต้นเมื่อ ริเวอร์ (เจมส์ โลว์เดน) เจ้าหน้าที่สายลับรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ถูกส่งมาทีม Slow Horses เพราะไม่ผ่านการทดสอบสายลับ

แต่วันหนึ่ง ริเวอร์ ได้พยายามหาความจริงของภารกิจลับที่หน่วยงานเขาได้รับ ก่อนจะพบว่า MI5 กำลังมีแผนลับบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวชายหนุ่มเชื้อสายมุสลิมโดยกลุ่มการเมืองขวาจัด จากการเข้าไปล่วงรู้ความลับครั้งนี้ ก็ส่งผลทีม Slow Horses ต้องเข้ามาร่วมจัดการไล่ล่าอาชญากรลักพาตัว ในครั้งนี้

Slow Horses เป็นงานระทึกขวัญ สายลับ ที่มาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่ชวนให้นึกถึงซีรีส์ Homeland ที่มีการใส่ประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองทางเชื้อชาติ มีการสร้างตัวละครในเรื่องให้มีความเทาๆ ไม่มีใครเป็นคนดี หรือชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ และมีการสร้างสถานการณ์ที่ชวนให้คนดูไม่สามารถไว้วางใจตัวละครใดๆ ในเรื่องได้

ด้วยความที่ซีรีส์เล่าเรื่องผ่านทีมสายลับไม่เอาไหน ทำให้อีกจุดเด่นของซีรีส์คือการสร้างทีมสายลับที่สวนทางจากหนังแนวนี้เรื่องอื่น ไม่ว่าจะเป็นความไม่มืออาชีพของทีม การพยายามไต่เต้าของตัวละคร เพื่อพิสูจน์ฝีมือตัวเอง ซึ่งสร้างอรรถรสร่วมกับคนดูในรูปแบบที่ไม่เหมือนหนังสายลับเรื่องอื่นๆ

ทั้ง 6 ตอนของซีซันแรก เต็มไปด้วยความลุ้นระทึกที่ใส่มาแบบไม่ยั้ง ไม่ว่าจะเป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างสายลับด้วยกันเอง การได้ลุ้นฉากไล่ล่าช่วยตัวประกัน ซึ่งแต่ละตอนก็ไต่ระดับความสนุก ความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีการการสับขาหลอกแบบที่คาดเดาไม่ได้

โดยรวม Slow Horses season 1 เป็นซีรีส์เปิดตัวสายลับชุดใหม่ ที่โดดเด่น และแตกต่างจากซีรีส์สายลับเรื่องอื่นๆ เนื้อหาของซีรีส์มาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องที่สนุก ชวนลุ้น เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยมเฉือนคม ที่ตื่นเต้นไม่แพ้หนังสายลับฟอร์มยักษ์เลยแม้แต่น้อย พร้อมต่อยอดสู่เรื่องราวซีซั่นต่อไปๆ ได้อย่างชวนติดตาม

สามารถรับชมซีรีส์ Slow Horses season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Treason: ซีรีส์สายลับ ระทึกขวัญ ที่เล่าเรื่องตามสูตรสำเร็จ

Treason เป็นผลงานซีรีส์สายลับ ระทึกขวัญ เรื่องล่าสุดจาก Netflix สร้างสรรค์โดย แมตต์ เชอร์มาน มือเขียนบทจากหนัง Bridge of Spies ที่ในเรื่องนี้ได้นักแสดงหนุ่มมาแรงเจ้าของบท แดร์เดวิลอย่าง ชาร์ลี ค็อก มารับบทนำ สมทบด้วย ออลก้า คูรี่เลนโค (Black Widow), อูร่า แชปลิน (ซีรีส์ Game of Thrones) และ คลีราน ฮินด์ (Belfast)

เรื่องราวของ Treason จะว่าด้วย อดัม ลอว์เรนซ์ (ชาร์ลี ค็อก) เจ้าหน้าที่ MI6 ที่ได้รับโอกาสทำหน้ารักษาการผู้อำนวยการ เนื่องจาก มาร์ติน แองเจลิส (คลีราย ฮินด์) หัวหน้าผู้ดำรงตำแหน่งนี้ถูกลอบสังหารจนต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่อ อดัม เริ่มหาความจริงว่าใครคือคนลงมือ เขาก็พบว่าเป็นฝีมือของ คารา (ออลก้า คูรี่เลนโค) อดีตคนรักของเขาที่เคยร่วมทำภารกิจด้วยกันที่รัสเซีย การกลับมาเจอกันของทั้งคู่ในครั้งนี้นำมาสู่การตามหาความจริง และเอาชีวิตรอดจากองค์กรที่อยู่เบื้องหลังภารกิจนี้

สำหรับ Treason นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์สูตรสำเร็จของ Netflix ที่ทำมาเพื่อเอาใจใครที่ชอบซีรีส์สายลับโดยเฉพาะ โดยเนื้อหาของซีรีส์จะมาพร้อมความยาวเพียง 5 ตอนเท่านั้น ซึ่งตัวผู้สร้างสรรค์อย่าง แมตต์ เชอร์มาน ได้ถ่ายทอดซีรีส์ชุดนี้ให้ออกมามีกลิ่นอายของ Bridge of Spies ที่มีบริบทอยู่ในยุคปัจจุบัน มีการพูดถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่างอเมริกา และรัสเซีย ที่ต่างส่งสายลับเป็นอาวุธในการหาข้อมูล

ความสนุกของ Treason คือการเล่าเรื่องแบบหนังสายลับ ที่ผสมผสานระหว่างความเป็นดราม่า ระทึกขวัญ สืบสวนสอบสวน เข้ากันได้อย่างลงตัว ตลอดทั้งเรื่องของซีรีส์จะเต็มไปด้วยการหักเหลื่ยมเฉือนคมระหว่างสายลับ การค่อย ๆ เผยความจริงให้ผู้ชมได้รู้ทีละน้อย ๆ ที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนต่อไป รวมทั้งการหยิบประเด็นการเมืองมาเพิ่มอรรถรสให้ความขัดแย้งในเรื่องให้ดุเดือด เข้มข้นมากขึ้น

นอกจากพาร์ทการประชันฝีมือของสายลับแล้ว ใน Treason ก็ยังมีการใส่ความเป็นรักสามเศร้า และดราม่าครอบครัวเข้าไปด้วย ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งลายเซ็นตามสไตล์ของซีรีส์ Netflix ที่พยายามสร้างอารมณ์ร่วมกันคน แต่ในซีรีส์เรื่องนี้การพยายามเพิ่มดราม่าดังกล่าวถือว่าเป็นทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อนสำคัญของหนัง เพราะด้วยพาร์ทดราม่าที่เข้ามาแทรก ได้เพิมมิติให้กับตัวละคร มีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้พาร์ทสายลับดูดรอปลงไปอย่างน่าเสียดาย

สำหรับการแสดงใครที่ชื่นชอบ ชาร์ลี ค็อก จาก Daredevil น่าจะถูกใจบทบาทของเขาในเรื่องนี้ เพราะแม้จะเป็นบทที่ค่อนข้างต่างกัน แต่ผู้ชมจะยังได้เห็นนักแสดงหนุ่มผู้นี้โชว์ลีลาบู๊เล็ก ๆ พร้อมทั้งยังเป็นบทสายลับที่มีความเท่ สุขุมมาก ๆ ในขณะที่ด้าน ออลก้า คูรี่เลนโค ก็กลับมารับบทนักบู๊ และสายลับหญิงที่อาจไม่ได้ต่างจากบทบาทประจำของเธอนัก แต่ก็ถือว่าเป็นอีกตัวละครที่สร้างสีสันให้ซีรีส์ได้ดีไม่น้อย

โดยรวม Treason เป็นอีกหนึ่งซีรีส์สายลับ ระทึกขวัญ สูตรสำเร็จที่ดูสนุกอีกหนึ่งเรื่อง ที่เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยม การใช้ไหวพริบในการต่อสู้ที่ชวนลุ้นในตลอด 5 ตอนของซีรีส์ แม้ว่าจะมีความน่าหงุดหงิดในพาร์ทดราม่าสไตล์ Netflix ไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่คอหนังสายลับ อิงการเมือง น่าจะชอบไม่มากก็น้อย

สามารถรับชมซีรีส์ Treason ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Extrapolations: ซีรีส์ดราม่า ไซไฟ

อีกหนึ่งซีรีส์ดราม่า ไซไฟ เนื้อหาน่าสนใจจาก Apple TV+ ที่สร้างสรรค์โดย สก้อต ซี เบิร์น (Contagion) ที่ครั้งนี้ได้เป็นอีกหนึ่งงานรวมดาราดังมาแสดงนำในซีรีส์แบบคับจอ นำทีมโดย คิต แฮริงตัน (ซีรีส์ Game of Thrones), เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน (Glass Onion), เมอร์รีล สตีฟ (Don’t Look Up), มาริยง โกติยาร์ (Inception), เจมม่า ชาน (Eternals), โทบี้ แมคไกว (Spider-Man) และ ฟอเรส วิตเทคเกอร์ (Godfather of Harlem)

เรื่องราวของซีรีส์ Extrapolations จะว่าด้วยเหตุการณ์ในโลกอนาคต ที่ปัญหาภาวะโลกร้อน ได้กลายเป็นปัญหาระดับโลก จนส่งผลกระทบต่อมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด โดยซีรีส์จะเริ่มเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2037 ไปจนถึงปี 2070 ผ่านมุมมองของผู้คนมากมาย ตั้งแต่คนรวย คนจน ที่ต่างต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์นี้

Extrapolations เลือกที่จะนำเสนอเนื้อหาแบบ Anthology ที่แต่ละตอนจะมีเรื่องราวที่จบในตอน แต่จะมีจุดเชื่อมโยงบางส่วนที่เนื้อหาต่อเนื่องกัน ซึ่งแต่ละตอนนั้นมาพร้อมประเด็นที่แตกต่างกันไป แต่จะอิงปัญหาโลกร้อนเป็นพื้นหลังเหมือนกัน ความน่าสนใจคือหนังเลือกเล่นกับประเด็นที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนอย่าง ชนชั้น การเมือง ศาสนา มาเป็นหัวใจในการดำเนินเรื่องตลอดทั้ง 8 ตอน

อีกหนึ่งจุดขายของ Extrapolations คือการที่ซีรีส์เต็มไปด้วยลูกเล่นของหนังไซไฟ ที่พยายามคาดเดาเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้ซีรีส์มีกลิ่นอายของความเป็น Black Mirror ที่สะท้อนภาพของมนุษย์ในโลกอนาคต ผสมกับความเป็นดิสโทเปีย ที่ชวนให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกับการสร้างสรรค์ความล้ำสมัยต่างๆ ที่ซีรีส์พาคนดูไปสำรวจ

ด้านทีมนักแสดงนำในแต่ละตอนของซีรีส์ชุดนี้ ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าหลายคนจะไม่ได้มีบทบาทมาก แต่ก็สามารถตรึงคนดูได้อย่างอยู่หมัด ไม่ว่าจะเป็น เอิร์ดเวิร์ด นอร์ตัน หรือเมอร์รีล สตีฟ รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ ที่เรียกได้ว่าสร้างสีสันให้ซีรีส์ชุดนี้ได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่เป็นจุดด้อยของ Extrapolations คือการที่ซีรีส์เล่าเรื่องค่อนข้างวนเวียน ซ้ำซาก หลายๆ ตอน เนื้อหาของซีรีส์มักเล่นกับประเด็นเดิมๆ คือเรื่องชนชั้น ศาสนา การทำลายโลกโดยฝีมือมนุษย์ ทำให้หลายตอนของซีรีส์ขาดความโดดเด่น มีเนื้อหาที่น่าเบื่อ จนชวนให้รู้สึกว่า 8 ตอนของซีรีส์ชุดนี้ยาวนานเกินจำเป็น

Extrapolations ถือว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ไซไฟ ดราม่า ที่สามารถหยิบเลือกโลกร้อน มาเล่าได้อย่างสนุก หลากรสชาติ ด้วยเนื้อหาทั้ง 8 ตอนที่คาดเดาไทม์ไลน์เหตุการณ์โลกร้อนออกมาได้ชวนติดตาม ผ่านแต่ละเส้นเรื่องทื่ให้อรรถรสต่างกันไป และน่าจะเป็นซีรีส์ที่เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันที่เต็มไปด้วยปัญหามลภาวะได้ดีไม่น้อย

สามารถรับชมซีรีส์ Extrapolations ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Slow Horses season 2: ยกระดับการเล่าเรื่องจากซีซั่นแรก ให้ไปไกลกว่าเดิม 

ซีซั่นที่ 2 ของซีรีส์สายลับคุณภาพจาก Apple TV+ ที่ครั้งนี้เป็นการหยิบอีกหนึ่งเรื่องราวสุดเข้มข้นของทีมสายลับสุดห่วย ที่อันตราย และท้าทายกว่าคดีแรก ซึ่งเนื้อหาในซีซั่นนี้ จะว่าด้วยคดีการตายปริศนาของเจ้าหน้าที่สายลับรุ่นเก๋า ทำให้ แจ็คสัน แลมป์ (แกรี่ โอลด์แมน) เข้ามาสืบสวนด้วยตนเอง ซึ่งเขานั้นสงสัยว่าคนร้ายอาจเป็นสายลับรัสเซียที่เต็มไปด้วยปริศนา ในคดีนี้ แลมป์ ได้ส่งสมาชิกในทีม ไปทำการสืบหาตัวตน และจุดหมายของคนร้าย จนนำมาสู่การไล่ล่า สุดระทึก

ในซีซั่นนี้ Slow Horses ได้มีการปรับวิธีการเล่าเรื่องให้ต่างจากในซีซั่นแรกพอสมควร จากที่ในซีซั่นแรกมีการเล่าแบบหนังไล่ล่าผู้ร้าย แต่ในซีซั่นที่ 2 นี้ซีรีส์ใช้วิธีเล่าเรื่องแบบหนังสืบสวนสอบสวน ที่เปิดเรื่องด้วยการตายอย่างปริศนา ก่อนจะพาคนดู และตัวละครไปร่วมค่อยๆ สืบหาความจริงของเรื่องทั้งหมด

หากพูดในแง่ของการเป็นซีรีส์สืบสวย Slow Horses ซีซั่นนี้ถือว่าทำออกมาสอบผ่าน ตลอดทั้ง 6 ตอนเต็มไปด้วยการเล่าเรื่องที่สนุก เข้มข้น แม้ว่าจะไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นสุดมันส์เหมือนหนังสายลับเรื่องอื่นๆ  แต่การเล่าเรื่องก็ทำออกมาได้ครบรสทุกอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นการหักเหลี่ยมเฉือนคม การหักมุม สับขาหลอก ที่คนดูคาดเดาแทบไม่ได้

นอกจากนี้ในซีซั่นที่ 2 นี้ ยังมีพาคนดูไปโฟกัสกับเหล่าตัวละครทีมสายลับ Slow Horses มากยิ่งขึ้น ด้วยการแบ่งเส้นเรื่องออกเป็นหลายเหตุการณ์ พร้อมทั้งยังเพิ่มเหตุการณ์สำคัญในแต่ละเส้นเรื่อง ที่ทำให้การกระจายบทในซีซั่นนี้ทำได้ดีมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างคนดู และตัวละครได้เป็นอย่างดี

ส่วนการแสดง ในครั้งนี้ผู้ชมจะได้เห็นบทบาทแต่ละตัวละครที่เติบโต และมีพัฒนาการจากซีซั่นก่อนอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็น แกรี่ โอลด์แมน ที่ในครั้งนี้เราจะได้เห็นเขาได้ออกปฏิบัติการมากขึ้น และยังได้เห็นความเก่งกาจของตัวละคร แจ็คสัน แลมป์มากยิ่งขึ้น ในขณะที่ด้าน แจ็ค โลว์เดน พระเอกของเรื่องก็ได้แสดงบทสายลับที่มีมิติ และทำให้คนดูได้เห็นด้านอื่นๆ ของตัวละครนี้มากยิ่งขึ้น

โดยรวม Slow Horses ซีซั่น 2 เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่มีพัฒนาการที่เห็นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับซีซั่นแรก การเล่าเรื่องมีความกลมกล่อมลงตัวมากขึ้น พร้อมทั้งยังยกระดับเนื้อหาให้สนุก เล่นใหญ่กว่าเดิม ใครที่มองหาซีรีส์สายลับเดือดๆ นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชมซีรีส์ Slow Horses ทั้ง 2 ซีซั่นได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ We Own This City: ซีรีส์ที่กล้าหยิบประเด็นด้านมืดของตำรวจมาถ่ายทอด

We Own This City คือหนึ่งในมินิซีรีส์จาก HBO ผลงานการสร้างสรรค์โดย จอร์จ เพเลคานอส และ เดวิด ไซม่อน สองผู้สร้างจากซีรีส์ The Wire ซึ่งในเรื่องนี้พวกเขาได้ดัดแปลงจากหนังสือที่เขียนจากเรื่องจริงของ จัสติน แฟนตอน พร้อมได้ทีมนักแสดงมากความสามารถมาร่วมแสดงนำไม่ว่าจะเป็น จอห์น เบิร์นทัล (ซีรีส์ The Punisher), วุนมิ มูซากุ (ซีรีส์ Lovecraft Country), เจมี่ เฮคเตอร์ (ซีรีส์ Bosch) และ จอร์จ ชาร์ลส์ (Away)

เรื่องราวของซีรีส์ We Own This City จะว่าด้วยการสืบสวนตำรวจปราบปรามอาชญากรรมบัลติมอร์ ที่ได้ถูกร้องเรียนเรื่องการคอรัปชัน การใช้กำลังเกินกว่าเหตุ และมีการยัดช้อหาให้ประชาชน โดยหนึ่งในตำรวจที่ต้องสงสัยมากที่สุดคือ เจ้าหน้าที่ เวย์น เจนกินส์ (จอห์น เบิรนทัล) นายตำรวจที่เป็นหัวหน้าทีมของหน่วย ซึ่งการสืบสวนในครั้งนี้ ก็นำมาสู่การค้นพบความดำมืดที่สถานีตำรวจซ่อนเอาไว้มาเนิ่นนานร่วมสิบปี

ด้วยความที่ซีรีส์เป็นผลงานจากทีมผู้สร้างจาก The Wire เสน่ห์ของ We Own This City คือการเล่าเรื่องที่มีความสมจริง โดยเฉพาะการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ทีมผู้สร้างยังคงใช้วิธีนำเสนอแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการปฎิบัติการณ์สอดแนมที่ชวนลุ้น การนำเสนอชีวิตการทำงานของตำรวจ และเจ้าหน้าที่อัยการที่น่าติดตาม

ความแตกต่างของ We Own This City ที่ไม่เหมือนซีรีส์ตำรวจเรื่องอื่นๆ คือการที่ในเรื่องนี้ตำรวจคือผู้ร้ายหลักของเรื่องเสียเอง ซึ่งตัวซีรีส์ก็เลือกที่จะนำเสนอเรื่องราวโดยที่ไม่มีใครเป็นตัวเอกชัดเจน แต่จะพาคนดูไปสำรวจเหตุการณ์ความเลวร้ายต่างๆ แบบไม่เรียงลำดับเวลา ซึ่งตลอดทั้ง 6 ตอนของซีรีส์เป็นการพาคนดูไปเห็นความเลวร้ายทุกรูปแบบที่ตำรวจทำต่อประชาชน ควบคู่ไปกับการไล่ล่าหาความจริงของทีมอัยการ

หนึ่งในจุดขายของซีรีส์ชุดนี้คือการถ่ายทอดการกระทำที่เลือดเย็นของตำรวจ ออกมาได้อย่างตรงไปตรงมา ถึงพริกถึงขิง และไร้ปราณี ทำให้หลายฉากในเรื่องค่อนข้างน่าสะเทือนอารมณ์ และบีบความรู้สึก ในขณะที่ทีมนักแสดงนำ ต่างก็เข้าถึงบทบาทได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะ จอห์น เบิร์นทัล จอร์จ ชาร์ลส์ และเจมี่ เฮคเตอร์ ที่ต่างถ่ายทอดบทบาทตำรวจร้ายๆ ออกมาได้ยอดเยี่ยม

โดยรวม We Own This City นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ตำรวจ ที่กล้าหยิบประเด็นละเอียดอ่อนมาถ่ายทอดได้อย่างตรงไปตรงมา เป็น 6 ตอนที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจ และชวนให้ติดตามเรื่องราวไปจนจบ

สามารถรับชมซีรีส์ We Own This City ได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Copenhagen Cowboy: ซีรีส์สุดอาร์ตจาก นิโคลัส วินดิง เรฟน์

ผลงานซีรีส์การกำกับ และสร้างสรรค์โดยเจ้าพ่อหนังอาร์ต นิโคลัส วินดิง เรฟน์ (Drive) ที่เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่างเขากับ Netflix ในครั้งนี้เขาได้หันมาสร้างซีรีส์ภาษาเดนิช เป็นครั้งแรก พร้อมได้ทีมนักแสดงชาวเด็นมาร์ก มาร่วมแสดงนำ

เรื่องราวของ Copenhagen Cowboy จะว่าด้วย มียู (แองเจล่า บันดาโลวิค) หญิงสาวที่ถูกจับมาเพื่อทำงานให้กับแก๊งอาชญากร ด้วยความเชื่อของหญิงชราหัวหน้าแก๊งที่ว่า ยูมีนั้นมีพลังพิเศษที่จะทำให้เธอมีลูกได้ แต่ทว่าระหว่างที่ทำงานนี้ ยูมีก็ต้องพบกับความโหดร้าย ทารุณต่าง ๆ มากมายที่ผู้อำนาจกระทำต่อแรงงานหญิง ยูมี เลยหาทางเพื่อช่วยเหลือพวกเธอ และตนเอง ด้วยการผันตัวสู่ผู้ล้างแค้นด้วยพลังพิเศษของเธอเอง จนนำมาสู่สงครามระหว่างแก๊งอาชญากรสุดเข้มข้น

Copenhagen Cowboy เป็นงานซีรีส์ที่เต็มไปด้วยความแปลก และแตกต่างจากซีรีส์เรื่องอื่น ๆ ของ Netflix ด้วยความที่งานของ นิโคลัส วินดิง เรฟน์ มีความโดดเด่นเฉพาะตัว โดยเฉพาะความเชื่องช้าของเนื้อเรื่อง การเล่าผ่านฉากลองเทค และงานภาพสวย ๆ สไตล์หนังอินดี้ ซึ่งเป็นรูปแบบการนำเสนอแบบเดียวกับซีรีส์ก่อนหน้าของเขาอย่าง Too Old Too Die Young หากใครที่ชอบเสพงานภาพ และชอบซีรีส์อาร์ต ๆ อาจชื่นชอบ แต่หากใครที่ชอบซีรีส์ที่เดินเรื่องเร็ว เนื้อหาสูตรสำเร็จ อาจไม่ชอบซีรีส์เรื่องนี้ไปเลย

ในเรื่องนี้ เรฟน์ ยังคงมาพร้อมพลอตที่คุ้นเคย คือการพูดถึงโลกใต้ดิน วงการอาชญากรรม และการล้างแค้น ซึ่งในเรื่องนี้หนังได้เลือกผสมผสานความเป็นดราม่า แฟนตาซี เข้าไปด้วย หนังพาคนดูไปสำรวจชีวิตของเหล่าหญิงสาวที่ถูกจับมาค่าแรงงาน เป็นโสเภณี ที่ต้องดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอด ที่ชวนให้คนดูอยากติดตามเอาใจช่วยไปจนจบเรื่อง

ส่วนที่โดดเด่นมาก ๆ ของ Copenhagen Cowboy คืองานโปรดักชันของซีรีส์ ที่ในเรื่องนี้ เรฟน์ ยังคงจัดเต็มด้วยสไตล์ที่คุ้นเคย ด้วยงานภาพลองเทค พร้อมการจัดองค์ประกอบภาพ และแสงสีที่สวยงาม ราวกับภาพวาด หรือภาพถ่ายที่วิจิตรงดงาม พร้อมทั้งงานดนตรีประกอบที่มีความเป็น EDM เพิ่มอรรถรสให้การรับชมซีรีส์มากขึ้นไปอีก

โดยรวม Copenhagen Cowboy นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่โดดเด่นด้วยสไตล์งานเฉพาะของ นิโคลัส วินดิ้ง เรฟน์ ที่เต็มไปด้วยความวิจิตรงดงามของงานโปรดักชั่น และการพาคนดูไปร่วมผจญภัยกับโลกอาชญากรรม และความดาร์กแฟนตาซี ที่ซ่อนเซอร์ไพรส์แบบที่คนดูคาดไม่ถึง

สามารถรับชมซีรีส์ Copenhagen Cowboy ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

“สะพานแสงดาว” ซีรีส์ไทยน้ำดี แต่ทันสมัยสมยุคของ “ครอบครัว”

                สะพานแสงดาว…เป็นซีรีส์แกะกล่องที่กำลังจะออกอากาศสิ้นเดือนเมษายนนี้ ด้วยเนื้อหาที่อิงเรื่องราวของครอบครัว และเสียดสีสังคมในที่ห่างไกล ผ่าน “สะพาน” ที่เป็นตัวเชื่อมโยงแห่งการเดินทางระหว่างแนวคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งมีตัวละครอย่าง “ติณณภพ” รับบทโดย “อ๊อฟ ศุภณัฐ” ทหารหนุ่มผู้มุ่งมั่น แน่วแน่

มีความฝันที่จะปิดทองหลังพระเพื่อส่วนรวมดังที่ตั้งใจ โดยตัวเขาเป็นพี่ชายค่อนข้างเรียบง่าย ไม่สนใจชื่อเสียง หรือแสวงผลประโยชน์เพื่อเงินทองใดๆ เลย เขาเลือกเป็นทหารช่างในด้านวิศวกรรมตามรอยพ่อที่เป็นทหาร ด้วยความแตกต่างด้านแนวคิดของพี่น้อง ทำให้เขาต้องมาทะเลาะกับ “ก้องภพ” รับบทโดย “บอส ธนบัตร” นักร้องดังที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง ผู้เป็นน้องชายที่เห็นต่าง ไม่ค่อยอินกับการ “ปิดทองหลังพระ” สักเท่าไหร่นัก และเชื่อมั่นในตนเองสูง

จุดเริ่มต้นของ “สะพานแสงดาว” ที่นั่น…ติณณภพมาประจำการ ได้ช่วยเหลือชาวบ้านคนหนึ่งที่ตกทุกข์ได้ยาก และกำลังล้มป่วยหนัก แต่ไม่ทันการณ์ เพราะเขาได้เห็นภาพนั้นด้วยตาของตนเอง บวกกับความยากลำบากของชาวบ้านถิ่นทุรกันดาร ที่จะต้องเดินทางเท้าไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ทำให้แรงบันดาลใจเพื่อความสะดวกของชาวบ้าน

รวมถึงความเสียใจที่ช่วยชีวิตไม่ทัน ชายหนุ่มยืนหยัดที่เลือกที่จะปฏิบัติตามขั้นตอนของ “ความตั้งใจ” พ่อของเขาและกลายเป็นทหารช่างที่นี่ ไม่สนใจว่าน้องชายอย่าง “ก้องภพ” จะเลือกเงินและชื่อเสียงเป็นนักร้องที่ประสบความสำเร็จดังที่ฝันไว้ โดยภาพนั้นมีความเสียดสีสังคมพอสมควรในถิ่นทุรกันดาร บวกกับมองเรื่องปัญหาการเข้าไม่ถึงสาธารณูปโภคสำคัญ และการศึกษาที่ให้เข้าใจคุณค่าของสิทธิในการทำเพื่อตนเอง

จะเห็นได้ว่าในส่วนของทีเซอร์ จะมีบทสนทนาของชาวบ้านที่เคยชินกับการไม่พัฒนาอะไรแบบนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ร้ายแรง มันส่อให้เห็นการไม่ให้ความสำคัญของประชาชน

จะว่าไปไม่เคยเห็น “อ๊อฟ ศุภณัฐ” เล่นบทขรึมๆ แบบนี้มาก่อน อาจเป็นเพราะเห็นจากบทตัวประกอบมากกว่าที่จะเล่นบทเด่นๆ และการรับบท “ติณณภพ” ถือว่าส่งบทบาทเอามากๆ และเป็นตัวเดินเรื่องของความหวังอีกกลุ่ม แต่ก็เป็นภาพสะท้อนของบุคคลที่ตกระกำลำบากจากความเพิกเฉยของภาครัฐในขณะเดียวกัน บทบาทนี้ถือว่าเอาอยู่จริงๆ

                และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือบท “ก้องภพ” ที่ “บอส ธนบัตร” เล่นนั้น เล่นได้ถึงอารมณ์ของคนทันสมัย หาเงินใช้เอง เชื่อมั่นในตนเอง เป็นตัวละครที่ชอบมาก เพราะมันเล่าแทนความรู้สึกของใครหลายคนมากกว่าหมั่นไส้ ซีรีส์เรื่อง “สะพานแสงดาว” จึงเป็นซีรีส์น้ำดีที่ควรดูอย่างมาก ซึ่งออกฉายในวันที่ 30 เมษายน และ 1 พฤษภาคม เวลา 20.30 น. ทางช่องไทยพีบีเอส อยากให้ทำเป็นซีรีส์เรื่องยาว จะมีความน่าสนใจอีกด้วย

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

Blade เตรียมฉายตุลาคม 2023

ช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาพวกเราคงได้เห็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่จากค่าย Marvel Studio มาหลายต่อหลายตัวและก็ดูเหมือนว่าจักรวาลที่ Marvel Studio นั้นจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ Marvel Studio เลยก็ว่าได้ เริ่มต้นจากการเป็นทำหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่รู้จักกันแค่ในกลุ่มของเหล่าแฟนของ Marvel เพียงเท่านั้นให้กลายเป็นภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ได้รับการรู้จักไปทั่วทั้งโลก

ภาพจาก Wallpaperaccess

Marvel Studio เป็นจุดเริ่มต้นที่เริ่มต้นจากการที่บริษัทนั้นกำลังจะล้มละลายและต้องขายธุรกิจซูเปอร์ฮีโร่สายตัวไปให้กับทางค่ายอื่น ๆ และในช่วงที่กำลังจะล้มละลายพวกเขาได้ตัดสินใจที่จะเดิมพันกับหนังเรื่อง Iron Man ที่นำแสดงโดย Robert Downey Junior ซึ่งผลตอบแทนตลอด 10 ปี

ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า Marvel Studio นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและในตอนนี้ Marvel Studio ก็พร้อมที่จะดึงลิขสิทธิ์ซูเปอร์ฮีโร่ที่ได้ขายให้กับค่ายอื่นไปกลับสู่อ้อมกอดอีกครั้งตัวอย่างเช่นร่วมมือกับทาง Sony ในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Spider-Man ทั้ง 2 ภาครวมถึงภาคที่ 3 ที่กำลังจะเข้าฉายในช่วงปลายปีนี้ด้วย และยังมีตัวละครอื่นๆ อีกหลายตัวที่มีแผนการที่จะนำกลับเข้ามาใน Marvel Cinematic Universe ในอนาคต

ภาพจาก Wallpaperaccess

นอกจากจะสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่แล้ว Marvel Studio มีแผนที่จะรีบูสต์ภาพยนตร์เรื่องเก่าด้วยเช่นเดียวกันแร่ที่เป็นข่าวอยู่ในปัจจุบันนี้ก็คือภาพยนตร์เรื่อง Blade ซูเปอร์ฮีโร่ที่เป็นนักล่าแวมไพร์ที่เคยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ตั้งแต่ในปี 1998 ซึ่งก็ทำทั้งหมด 3 ภาคด้วยกัน

โดยนักแสดงนำก็คือ Wesley Snipes ซึ่งทั้ง 3 ภาคนั้นก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่มีคนติดตามเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว และทาง Marvel Studio ก็พร้อมที่จะนำภาพยนตร์เรื่องนี้กลับมาทำใหม่อีกครั้ง และดูเหมือนว่าจะมีการให้ Mahershala Ali มารับบทเป็นตัวละครเอกในเรื่องนี้แทน Wesley Snipes 

ภาพจาก Wallpapersden

ซึ่งล่าสุดก็ได้มีข่าวคราวเกี่ยวกับวันเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่อง Blade ออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากการที่ทาง Marvel Studio นั้นได้มีการวางแผนทำภาพยนตร์หลายเรื่องรวมถึงซีรีส์ใน Marvel Cinematic Universe ในเฟสที่ 4 ทำให้Blade จะเข้าฉายในโรงช่วงปี 2023 เลย

โดยจะมีการถ่ายทำในช่วงเดือนกรกฎาคมปีหน้า โดยทางทีมงานได้ออกมาบอกด้วยว่าสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Blade จะมีความเป็นหนังแนว Horror มากขึ้นและเพื่อให้สอดคล้องกับธีมของภาพยนตร์ ภาพยนตร์เรื่อง Blade จะเข้าฉายในเดือนตุลาคมซึ่งไม่แน่อาจจะเป็นช่วงวันฮาโลวีนซึ่งจะตรงกับวันที่ 31 ตุลาคมนั่นเอง อย่างไรก็ตามทาง Marvel Studio ยังไม่มีการเปิดเผยวันฉายอย่างแน่ชัด

ก่อนที่จะไปถึงปี 2023 ในปีนี้และปีหน้าก็ยังมีภาพยนตร์ของทาง Marvel Studio อีกหลายเรื่องให้ได้ติดตามชมกันเรียกว่าจุใจแน่นอนและเรื่องราวของภาพยนตร์ Marvel Cinematic Universe ในเฟสที่ 4 และเฟสต่อ ๆ ไปก็คงจะเข้มข้นมากขึ้นอย่างแน่นอนเลยทีเดียว

ข้อมูลจาก Screenrant , Regmovies

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Consultant ซีรีส์จิตวิทยา ระทึกขวัญ

The Consultant เป็นซีรีส์ดราม่า ระทึกขวัญ จาก Prime Video ผลงานการสร้างสรรค์โดย โทนี่ บาสกัลลอป (ซีรีส์ The Servant) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ เบนท์ลีย์ ลิตเติล พร้อมได้ทีมนักแสดงมากฝีมือ นำทีมโดย คริสตอฟ วอลท์ (No Time To Die), แนตต์ วูล์ฟ (The Kill Team), บริตธานี่ โอ เกรย์ดี้ (ซีรีส์ The White Lotus) และ เอมี่ คาร์เรอโร (The Menu)

ซีรีส์จะว่าด้วยเรื่องราวของบริษัทเกมชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ดูแลโดยเด็กหนุ่มชาวเกาหลีอัจฉริยะ จนกระทั่งทุกอย่างในบริษัทก็เปลี่ยนไป เมื่อเจ้าของบริษัทชาวเกาหลีได้ถูกเด็กประถมยิงตายในออฟฟิศ หลังจากนั้นบริษัทนี้ก็ถูกชายปริศนานาม รีจัส พาทอฟ (คริสตอฟ วอลท์) ที่อ้างว่าตนเป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษาบริษัท มาดูแลกิจการทั้งหมด ราวกับเป็นเจ้าของคนใหม่ พร้อมทั้งยังทำพฤติกรรมแปลกๆ ในเชิงเผด็จการมากมาย จนทำให้ เคลก (แนตต์ วูลฟ์) และ เอเลน (บริตธานี่ โอ เกรย์ดี้) สองพนักงานที่รู้สึกไม่ไว้วางใจ พาทอฟ ก็ได้ร่วมกันหาความจริงของชายปริศนาผู้นี้

ตัวซีรีส์มาพร้อมการเล่าเรื่องแบบซีรีส์ระทึกขวัญ ที่มีจุดขายคือตัวละครพาทอฟ ที่มีความลึกลับ น่ากลัว และทรงพลัง ชวนให้คนดูอยากติดตามซีรีส์ต่อว่าเรื่องราวของซีรีส์จะไปในทิศทางไหน และอำนาจของเขาจะมีผลอย่างไรต่อเนื้อเรื่องอย่างไรบ้าง ซึ่งซีรีส์ก็สามารถดำเนินเรื่องได้สนุก เข้มข้น ในตลอดทั้ง 8 ตอน

ตัวซีรีส์ไม่ได้มีแค่จุดขายที่ตัวละคร พาทอฟ เท่านั้น แต่ยังมีการเล่นกับสองตัวละครสำคัญอย่าง เคลก และเอเลน ที่ต่างมีมิติที่น่าสนใจ ทั้งความสัมพันธ์ที่เหมือนจะเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน และจุดหมายในการทำงานของทั้งคู่ ที่ซีรีส์ได้สะท้อนภาพของพนักงานออฟฟิศธรรมดา ในตัวละครทั้งสองไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งสองตัวละครนี้ยังทำหน้าที่เป็นนักสืบแทนคนดู ในการหาความจริงต่างๆ ที่เพิ่มอรรถรสให้ซีรีส์มากยิ่งขึ้น

ในแง่ของความลึกลับ ระทึกขวัญ The Consultant อาจไม่ได้มีฉากโหดๆ หรือชวนลุ้นมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นสงครามจิตวิทยาระหว่างตัวละคร ที่ค่อยๆ ไต่ระดับความดึงเครียด ความกดดันขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากใครที่หวังดูหนังแนวจิตๆ ขั้นสุดอาจผิดหวังไปบ้าง แต่หากใครชอบแนวดราม่า เนื้อหาหนักๆ อาจชื่นชอบไม่น้อย

ทั้งนี้ขอชื่นชมการแสดงของ คริสตอฟ วอลท์ ที่ยังคงเล่นบทวายร้ายโรคจิตได้อย่างน่าขนลุก ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่ชวนอึดอัด และการสร้างความลึกลับ ทรงพลังผ่านการแสดงที่น้อย แต่มาก ซึ่งเป็นหนึ่งในการแสดงที่แบกซีรีส์เรื่องนี้ไว้ ควบคู่กับ แนตต์ วูลฟ์ และ บริตธานี่ โอ เกรย์ดี้ ที่เป็นอีกสองคาแรคเตอร์ที่สร้างความน่าติดตาม ด้วยเคมีของทั้งสอง ที่มีทั้งโรแมนติก และดราม่า ที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ไม่น้อย

โดยรวม The Consultant เป็นอีกซีรีส์ระทึกขวัญ ที่ทำออกมาได้ชวนติดตาม ซีรีส์นำเสนอความเป็นเผด็จการในออฟฟิศออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เป็น 8 ตอน ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สนุกแบบกระชับ เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าค้นหา เคล้าด้วยดราม่าชั้นดี นับว่าเป็นอีกเรื่องที่คอซีรีส์คุณภาพไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ The Consultant ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Atlanta season 1

ผลงานซีรีส์แนวดราม่า ตลกร้าย จากการสร้างสรรค์ และร่วมแสดงนำของ โดนัลด์ โกลเวอร์ (ซีรีส์ Comunity) ที่ได้ทีมนักแสดงนำผิวสีมากฝีมือมาร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ (Bullet Train), ลาคีธ สตีนฟิลด์ (Knives Out) และ ซาซี่ บีตซ์ (Deadpool 2)

เรื่องราวของ Atlanta จะว่าด้วย เอิร์นเนส (โดนัลด์ โกลเวอร์) ชายหนุ่มที่ชีวิตกำลังตกอับ เพราะต้องทำงานที่ไม่ชอบ แถมยังมีภาระมากมายที่ต้องรับผิดชอบ จนกระทั่งวันหนึ่ง เอิร์น ได้พบว่า อัลเฟร็ด (ไบรอัน ไทลี เฮนรี) ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้เป็นแร้ปเปอร์ที่มีชื่อในโลกอินเตอร์เน็ต ทำให้ เอิร์น ตัดสินใจอาสารับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่การกลับมาเจอกันของพวกเขาครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยเรื่องเกรียน ๆ สุดวายป่วง

ตัวซีรีส์มาพร้อมความยาวต่อตอนเพียง 25 นาทีเท่านั้น โดยแต่ละตอนของซีรีส์จะว่าด้วยแต่ละเหตุการณ์ที่ตัวละครเผชิญ ตั้งแต่เรื่องราวเล็ก ๆ ไปจนถึงเรื่องราวสุดวายป่วงใหญ่โต ความสนุกของซีรีส์เป็นการพาคนดูไปสำรวจวิถีชีวิตของตัวละคร และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในขณะเดียวกันเนื้อเรื่องในแต่ละตอนก็เล่าได้กระชับ ไม่น่าเบื่อ

มุกตลกของ Atlanta เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของเรื่องก็ว่าได้ เพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ได้อัดแน่นไปด้วยหลากมุกตลกที่ชวนขำ ตั้งแต่มุกตลกหน้าตาย มุกตลกล้อเลียน ไปจนถึงมุกตลกที่แซะ จิกกัดประเด็นสังคม ตั้งแต่การเหยียดเพศ เหยียดผิว ซึ่งแต่ละมุกตลกต่างถูกจับวางในจังหวะที่เหมาะสม ลงตัว จนทำให้นอกจากจะตลกแล้ว ยังช่วยให้เนื้อเรื่องเดินหน้าอย่างชวนติดตาม

ในด้านพาร์ทดราม่า ซีรีส์ก็ทำออกมาได้ดี โดยซีรีส์ได้นำเสนอมิตรภาพ ความรัก ความสัมพันธ์รูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าหนังจะไม่ได้มีฉากอารมณ์หนักหน่วงมาก แต่บทสนทนา และการถ่ายทอดอารมณ์ของทีมนักแสดงก็สามารถทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีดีมากกว่าแค่การเป็นซีรีส์ตลก

ด้านการแสดงต้องขอชื่อชมทีมนักแสดงนำในเรื่องทุกคนที่ถ่ายทอดบทได้ถึงอารมณ์ ทุกคนต่างมีเคมีที่เข้ากัน ด้าน โดนัลด์ โกลเวอร์ รับบทพระเอกของเรื่องที่มีเสน่ห์ เปี่ยมไปด้วยความเป็น Loser ที่ชวนให้คนดูอยากเอาใจช่วยไปจนจบ ด้าน ไบรอัน ไทรี เฮนรี และลาคีธ สตีนฟิลด์ ก็ถ่ายทอดฉากตลกหน้าตาย ออกมาได้ชวนขำในหลาย ๆ ฉาก เมื่อทั้งสามมารวมตัวกันมักจะเกิดเป็นความบันเทิงที่ตรึงคนดูได้อยู่หมัด

โดยรวม Atlanta season 1 เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ดราม่า คอเมดี้ ที่เปิดซีซั่นได้อย่างน่าติดตาม ตัวซีรีส์เต็มไปด้วยความตลกที่มีความเป็นธรรมชาติ สามารถสร้างตัวละครหลักให้เป็นแก๊งขี้แพ้ที่น่าติดตาม น่าเอาใจช่วย พร้อมทั้งยังปูเรื่องราวไปสู่ซีซั่นต่อ ๆ ไปได้อย่างดีเยี่ยม

สามารถรับชมซีรีส์ Atlanta season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+​ Hotstar

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิว Murderville ซีรีส์สืบสวน

เชื่อว่าหลายคนคงมีภาพจำของซีรีส์สืบสวนว่าเป็นซีรีส์แนว ฟิล์มนัวร์ อาชญากรรม เนื้อหาที่ชวนเครียด หดหู่ แต่สำหรับ Murderville ซีรีส์เรื่องใหม่จาก Netflix หาได้เป็นแบบนั้นไม่ เพราะนี่คือซีรีส์สไตล์ซิตคอม ผสมเกมโชว์ ที่ใช้ซีรีส์สืบสวนเป็นแรงบันดาลใจ

ตัวซีรีส์จะว่าด้วย เทอร์รี่ (วิล อาร์เน็ต) หัวหน้าทีมสืบสวนสุดเปิ่น จอมโวยวาย ที่ได้มองหาเจ้าหน้าที่มาร่วมภารกิจสืบสวนกับเขา โดยซีรีส์จะมีทั้งหมด 6 Ep. และแต่ใน Ep. จะมีแขกรับเชิญที่ต้องมาช่วยเทอร์รี่ไขคดีแบบไม่ซ้ำหน้า ไม่ว่าจะเป็น โคแนน โอ ไบรอัน (The Mitchells vs. The Matchines), มาร์เชล ลินซ์ (ซีรีส์ Westworld), แอนนี่ เมอร์ฟี่ (ซีรีส์ Schitt’s Creek), ชารอน สโตน (Basic Instinct), คุมาล นานจิเอนิ (Eternals) และ เคน จอง (The Hangover) ซึ่งแขกรับเชิญแต่ละคนนั้นจะมารับบทเป็นตัวเอง และทุกคนจะไม่ได้อ่านบทล่วงหน้ามาก่อน ทำให้แขกรับเชิญเหล่านีตัองด้นบทสด ๆ และคาดเดาตัวคนร้ายจากการสังเกตของตัวเอง

ความน่าสนใจของ Murderville คือการที่ซีรีส์ได้ใช้คุณสมบัติของซีรีส์สืบสวน มาผสมผสานใส่มุกซิตคอม และใช้ล๔กเล่นแบบรายการเกมโชว์เข้าไปได้อย่างลงตัว ตัวซีรีส์อัดแน่นไปด้วยมุกตลกเกรียน ๆ โดยเฉพาะตัว วิล อาร์เน็ต ที่เต็มไปด้วยมุกแพรวพราวที่พร้อมปั่นประสาทคนดู และแขกรับเชิญ นอกจากนี้เหล่าตัวละครสมทบในเรื่องต่างก็มีความแปลก ความเกรียน ที่ได้ร่วมสร้างสีสันให้ซีรีส์ไม่น้อย

หนึ่งในส่วนที่ชอบมาก ๆ ของ Murderville คือการที่ซีรีส์ไม่ได้ให้แขกรับเชิญรู้บทของตัวเอง ความสนุกของมันคือการด้นสดที่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการยิงมุกของ วิล อาร์เน็ต ที่แขกรับเชิญไม่ทันตั้งตัว รีแอคที่ได้มันเลยเป็นโมเมนต์ที่น่ารัก ประทับใจ และชวนขำทุกครั้ง นอกจากนี้ การที่ซีรีส์ให้แขกรับเชิญคือคนที่ต้องชี้ตัวคนร้ายเอง ทำให้มันได้สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู คือให้คนดูและแขกรับเชิญ ต้องรับบทนักสืบ ที่ต้องช่างสังเกตในทุกเบาะแสที่ซีรีส์ใบ้ มันเลยทำให้การเดาตัวคนร้าย และสังเกตสิ่งต่าง ๆ คือความบันเทิงที่หาไม่ได้จากซีรีส์สืบสวนเรื่องอื่น ๆ

ถึงกระนั้น Murderville ก็ยังคงมีข้อด้อยบางส่วน ที่ทำให้เสน่ห์ความเป็นหนัง หรือซีรีส์สืบสวนลดลง เนื่องจากเงื่อนไขของความเป็นเกมโชว์ของมัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอที่ไม่สมจริง ไม่ธรรมชาติ ความซ้ำซากจำเจในการเล่นมุกตลกเดิม ๆ ที่บางครั้งมันกลับชวนน่าเบื่อไปบ้าง

โดยรวม Murderville เป็นอีกคอนเทนต์ที่คอซีรีส์สืบสวนน่าจะถูกใจไม่น้อย ด้วยความที่ซีรีส์ได้พาคนดู และแขกรับเชิญ ได้ร่วมเป็นนักสืบมือสมัครเล่น ซึ่งแต่ละคดีก็ท้าทายไวพริบไม่น้อย ประกอบกับมุกตลกที่ชวนขำทุกตอน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การรับชมกับครอบครัวหรือแก๊งเพื่อนในยามพักผ่อน

สามารถรับชม Murderville ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิว Detective Conan: The Culprit Hanzawa

ผลงานซีรีส์ภาคแยกจากอนิเมะยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ที่ครั้งนี้เป็นการฉีกการเล่าเรื่องด้วยการเปลี่ยนจากการเล่าเรื่องราวการสืบสวนของยอดนักสิบจิ๋ว มาเป็นการเล่าผ่านมุมมองของตัวละคร ฮันซาวะ วายร้ายร่างดำที่อยู่คู่กับซีรีส์ชุดนี้มาเนิ่นนาน และมีตัวละครหลักจากเรื่องโคนันเป็นตัวประกอบของเรื่อง

Detective Conan: The Culprit Hanzawa จะว่าด้วย ฮันซาวะ ชายปริศนาที่เดินทางเข้ามาในเมืองเบกะ เพื่อเข้ามาฆาตกรรมชายคนหนึ่ง แต่ทว่าการวางแผนนี้ก็กลับเต็มไปด้วยอุปสรรค ตั้งแต่การหาหอพัก การหลบหนีตำรวจ และเหล่าโคนัน และผองเพื่อน ซึ่งวิธีการซ่อนตัว หลบหนีของฮันซาวะ ก็เต็มไปด้วยเรื่องเกรียนๆ ชวนขำ และมิตรภาพมากมาย

ตัวซีรีส์มาพร้อมกับเนื้อหาที่สั้นกระชับ ด้วยความยาวเพียงตอนละไม่ถึง 10 นาที เนื้อหาในแต่ละตอนจะมีปนะเด็น มีเรื่องราวจบในตอนที่ต่างกันไป อรรถรสของซีรีส์จะให้อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนแก๊ก ที่ในแต่ละนาทีแทบจะยิงมุกตลกให้ได้ขำตลอดเวลา โดยที่ยังอิงคอนเซปต์จากเนื้อหาหลักของยอดนักสืบจิ๋วโคนัน

ความพิเศษของ Detective Conan: The Culprit Hanzawa คือการที่ซีรีส์เลือกหยิบมุกตลก ที่เป็นสิ่งที่ยอดนักสิบจิ๋วโคนัน มักโดนล้อ ไม่ว่าจะเป็นการที่เมืองเบกะ เต็มไปด้วยคดีฆาตกรรมเพราะโคนัน หรือการล้อเลียนคาแรคเตอร์ของตัวละครจากภาคหลัก ที่หากใครเป็นแฟนบอยอนิเมะชุดนี้จะต้องชื่นชอบไปกับมุกตลกเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

แต่นอกเหนือจากความตลกโบกฮาแล้ว ในซีรีส์ยังสอดแทรกพาร์ทดราม่าเล็กๆ ในซีรีส์ ที่ทำให้เราได้เห็นมุมอ่อนโยน มุมน่ารักของตัวฮันซาวะ ทั้งด้านมิตรภาพ ความเอ็นดูสัตว์ ความกากเกรียนน่าเอ็นดู ที่ไม่เคยได้เห็นจากซีรีส์โคนัน จนทำให้คนดูเปลี่ยนภาพจำของตัวละครนี้ไปโดยสิ้นเชิง

ด้านข้อเสียของซีรีส์ Detective Conan: The Culprit Hanzawa หลักๆ จะเป็นงานภาพ เนื่องจากซีรีส์ไม่ได้ตัว อาโอยาม่า โกโช ผู้เขียนการ์ตูนโคนัน มาร่วมวาดภาพให้ ทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีความเป็นงานแฟนเมดซะมากกว่า ที่จะเป็นหนึ่งในผลงานจากซีรีส์ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน

โดยภาพรวม Detective Conan: The Culprit Hanzawa นับว่าเป็นซีรีส์อนิเมะจากจักรวาลโคนัน ที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ การฉีกภาพจำของการ์ตูนชุดนี้ ที่เล่าเรื่องได้อย่างมีชั้นเชิง มีการเล่นมุกตลกล้อเลียนตัวเองที่เล่นได้สุด ที่หากใครติดตามโคนันมานาน จะต้องชื่นชอบเรื่องนี้ด้วยอย่างแน่นอน

สามารถรับชมซีรีส์ Detective Conan: The Culprit Hanzawa ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Gannibal ซีรีส์ระทึกขวัญ สืบสวน

Gannibal เป็นผลงานซีรีส์ Original Disney+ Hotstar จากประเทศญี่ปุ่น ที่ดัดแปลงมาจากมังงะงานเขียนโดย มาซากิ นิโนมิยะ โดยจะว่าด้วยเรื่องราวของ ไดโกะ อากาวะ (ยูยะ อากิระ) นายตำรวจที่เข้ามารับตำแหน่งในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาได้ย้ายมาพร้อมกับครอบครัว ที่ประกอบไปด้วยภรรยา และลูกสาว

แต่หลังจากที่ย้ายมารับตำแหน่งได้ไม่นาน ไดโกะ ก็ได้พบกับคดีการหายตัวไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนก่อนหน้า รวมทั้งเขายังได้พบว่าในหมู่บ้านนี้ได้มีครอยครัวมากอิทธิพลอย่างครอบครัวโกโต ที่มีข่าวลือว่าเป็นครอบครัวที่กินคน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไดโกะ เลยต้องลงมือสืบคดีนี้ แต่เมื่อยิ่งสืบไปเรื่อยๆ เขาก็พบกับอันตราย และเรื่องดำมึดมากมายที่หมู่บ้านนี้ซ่อนอยู่

Gannibal มาพร้อมการดำเนินเรื่องแบบซีรีส์สืบสวน ระทึกขวัญ โดยจะเน้นการเล่าเรื่องที่มีความสมจริง มีกลิ่นอายของความเป็นฟิล์มนัวร์ ที่ตัวละครจะไม่มีใครเป็นตัวดี หรือตัวร้าย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ความน่าสนใจของซีรีส์คือการสร้างบรรยากาศความลึกลับ น่ากลัว ของหมู่บ้านออกมาได้อย่างชวนติดตาม ชวนให้ค้นหาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ในแง่ของการสืบสวน ความระทึกขวัญ ซีรีส์ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ซีรีส์นำเสนอเหตุการณ์ผ่านมุมมองของตัวละครไดโกะ ที่เป็นคนหาความจริงได้สนุก เข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการตามล่าหาความจริงแบบไม่หวั่นกลัว รวมทั้งฉากแอ็คชั่นที่สอดแทรกระหว่างเรื่องที่มาพร้อมคิวบู๊สุดเดือด ทำให้ตลอด 7 ตอนของซีรีส์เรื่องนี้แทบไม่มีฉากน่าเบื่อให้ง่วงเหงาหาวนอน

ด้านงานโปรดักชั่นของซีรีส์ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดขายของซีรีส์ เพราะใน Gannibal ตัวซีรีส์มีฉากน่ากลัว ฉากสยดสยอง ที่ทำได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะการออกแบบฉากกลางคืน ฉากพิธีกรรมต่างๆ ที่เพิ่มอรรถรสความสยองขวัญได้อย่างดีเยี่ยม

ในส่วนของข้อด้อยของซีรีส์ คือการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างกระชับเกินไป ทั้งๆ ที่เนื้อหาของซีรีส์มีดีเทลล์ ที่สามารถเล่าได้มากกว่านี้ แต่ด้วยจำนวนตอนที่น้อยนิด ทำให้ซีรีส์ไม่สามารถโฟกัสทุกแง่มุม ทุกตัวละครได้อย่างเต็มที่ จนทำให้บางตัวละครขาดมิติ ขาดความน่าจดจำไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Gannibal เป็นอีกซีรีส์ม้ามืดจากญี่ปุ่น ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพทั้งความโหด ความสยองขวัญ เนื้อหาการสืบสวนที่ชวนติดตาม ตลอด 7 ตอนของซีรีส์เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ตื่นเต้น คาดเดาไม่ได้ และไต่ระดับความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แบบที่คอหนังระทึกขวัญไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

สามารถรับชมซีรีส์ Gannibal ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Glory Part 1

The Glory เป็นผลงานซีรีส์แนวระทึกขวัญจากเกาหลี เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ยังคงเป็นอีกหนึ่งงานที่หยิบประเด็นยอดนิยมอย่างการบูลลี่ในโรงเรียนมาถ่ายทอด ผ่านวิสัยทัศน์ของผู้กำกับอย่าง กิลโฮอัน (Stranger) และมือเขียนบทอย่าง คิมอึนซุก (Descendants of the Sun) พร้อมได้นักแสดงมากฝีมือของเกาหลีอย่าง ซงเฮเคียว (Descendants of the Sun) มารับบทนำ

เรื่องราวของ The Glory จะว่าด้วย มุนดงอึน (ซงเฮเคียว) หญิงสาวที่ถูกเพื่อนในชั้นเรื่องรุมรังแกอย่างโหดร้าย ทารุณ มาตลอดช่วงชีวิต ม.ปลาย จนเธอเกือบที่จะจัดสินใจคิดสั้น แต่ด้วยความคั่งแค้นที่สะสม ทำให้ ดงอึน เลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และใช้เวลากว่า 10 ปี ในการวางแผนล้างแค้นอดีตเพื่อนร่วมชั้นที่เคยทำร้ายเธอ ด้วยวิธีที่แยบยล และเลือดเย็น

แม้ว่าพลอต และโครงเรื่องของซีรีส์จะชวนให้นึกถึงหนัง หรือละครแนวล้างแค้นอย่าง “ล่า” ของไทย แต่ทว่า The Glory กลับแตกต่างจากเรื่องดังกล่าว ด้วยการที่เป็นซีรีส์แนวล้างแค้นที่มีมากกว่าการเข่นฆ่า หรือความโหดร้ายเลือดเย็น โดยในซีรีส์ใช้วิธีนำเสนอการล้างแค้นในรูปแบบของการเดินเกมหมากล้อม ที่ตัวละคร ดงอึน จะทำหน้าที่ค่อย ๆ ต้อนให้เหล่าเหยื่อการล้างแค้นของเธอจนมุม ด้วยการวางแผนที่แนบเนียน และเต็มไปด้วยชั้นเชิง

ใครที่หวังจะดูซีรีส์ล้างแค้นเอามันส์ เอาความสะใจแบบเน้น ๆ อาจผิดหวังเล็กน้อย เพราะในตลอด 8 ตอนของ Part 1 ซีรีส์เลือกที่จะดำเนินเรื่องผ่านทั้งเส้นเรื่องของดงอึน และเหล่าตัวละครวายร้ายของเรื่อง ทำให้ซีรีส์ไม่ได้โฟกัสที่การล้างแต้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังพาคนดูไปสำรวจชีวิตของเหล่าตัวละครในเรื่อง ที่แต่ละตัวละครต่างเผชิญชะตากรรมที่แตกต่างกันไป

การเล่าเรื่องของซีรีส์ดำเนินเรื่องออกมาได้ชวนติดตาม ตัวซีรีส์ยังเป็นอีกเรื่องที่หยิบประเด็นยอดนิยมของเกาหลีอย่างการบูลลี่ในโรงเรียน ซึ่งในเรื่องนี้ถ่ายทอดความรุนแรงออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ ซีรีส์เต็มไปด้วยฉากรุนแรงที่ชวนสะเทือนใจ ด้วยเหตุนี้ทำให้ซีรีส์สามารถสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างคนดู กับตัวละคร ดงอึนได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงทำให้คนดูอยากติดตามต่อไปว่าการล้างแค้นของดงอึน จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

ด้านการแสดง ซงเฮเคียว สามารถถ่ายทอดบทบาทของหญิงสาวที่มีบาดแผลได้อย่างดีเยี่ยม เป็นบทที่เธอต้องสลัดลุ้คสาวหวาน สู่หญิงสาวผู้เย็นชาที่พูดน้อยแต่ว่าทุกบทสนทนา และแผนการของเธอกลับเต็มไปด้วยทีเด็ดที่สามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด

โดยรวม The Glory เป็นอีกหนึ่งซีรีส์เกาหลีแนวระทึกขวัญ ที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม และมีความแปลกใหม่กว่าหนังหรือซีรีส์แนวล้างแค้นทั้วไป ด้วยแผนการ และบทสนทนาที่ถ่ายทอดได้อย่างมีชั้นเชิง เต็มไปด้วยการหักมุม และการสับขาหลอกที่เหนือชั้น พร้อมปูทางสู่บทสรุปใน Part 2 ได้อย่างน่าติดตาม

สามารถรับชมซีรีส์ The Glory Part 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Connect ซีรีส์สืบสวน

ผลงานซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวน ผสมแฟนตาซี ที่เป็นงาน Original ของ Disney+ ที่รับหน้าที่กำกับโดยมือสร้างหนังสายโหดสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง ทาเคชิ มิอิเกะ (Ichi the Killer) พร้อมได้ทีมนักแสดงเกาหลีมากฝีมือ นำทีมโดย จุงแฮอิน (ซีรีส์ Start-Up), โกคยุงเพียว (ซีรีส์ 1988) และ คิมแฮจุน (ซีรีส์ Kingdom)

Connect จะว่าด้วยเรื่องราวของ ฮาดองซู (จุงแฮอิน) ชายหนุ่มที่ต้องใช้ชีวิตแปลกแยกจากสังคม เนื่องจากเขานั้นคือ ‘คอนเนค’ หรือบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่ร่างกายจะเป็นอมตะ สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ ไม่ว่าจะบาดเจ็บรุนแรงแค่ไหน จนกระทั่งวันหนึ่ง ดองซู ได้ถูกกลุ่มนักค้าอวัยวะจับตัวไป แต่ด้วยความสามารถพิเศษของเขาทำให้ ดองซูรอดชีวิตมาได้ แต่ดวงตาข้างหนึ่งของเขาได้ถูกปลูกถ่ายไปให้กับฆาตกรต่อเนื่อง ทำให้ ดองซู มีความสามารถในการมองเห็นเชื่อมต่อดวงตากับฆาตกร ดองซูเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตามล่าฆาตกรผู้นี้ และทวงคืนดวงตาของเขากลับมาอีกครั้ง

นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์เกาหลี ที่ยังสามารถหยิบความเป็นแนวสืบสวนสอบสวน อาชญากรรม มานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ พร้อมทั้งในเรื่องนี้ยังได้ใส่ความเป็นแฟนตาซีเข้าไปเป็นลูกเล่นของซีรีส์ ที่ทำให้เนื้อหาเต็มไปด้วยลูกเล่นที่ชวนติดตาม และมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร ซีรีส์มีการเล่นกับฉากโหด ๆ อย่างการผ่าอวัยวะ ฉากการฆ่าที่สยดสยอง โดดเด่นกว่าเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะ CGI ฉากการเชื่อมร่างกายของ Connect ที่มีความน่าขนลุกขนพอง รวมถึงศพในเรื่องที่มีการออกแบบมาให้ทั้งสวยงาม และน่าสยดสยองในเวลาเดียวกัน ชวนให้นึกถึงการดีไซน์ศพในซีรีส์ Hannibal ไม่น้อย

โดยผู้ชมจะได้พบกับการตามล่า การประชันไหวพริบ ระหว่างชายที่เป็นอมตะ และฆาตกรต่อเนื่อง ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยเหตุการณ์ชวนลุ้น ชวนให้เอาใจช่วยแล้ว ยังจะได้สนุกไปกับการสืบสวนสอบสวน  การตามล่าหาความจริงที่เข้มข้นตลอดทั้ง 6 ตอนของซีรีส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างคาแรคเตอร์ของฆาตกรต่อเนื่องในเรื่องนี้ ซึ่งมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น ทั้งความโหดร้าย เลือดเย็น และมีความฉลาด ไหวพริบที่เหนือกว่าคนทั่วไป ที่ทำให้คนดูรู้สึกยำเกรง และหวาดกลัวตัวละครนี้ได้ไม่น้อย

นอกจากการสืบสวน ระทึกขวัญที่ทำออกมาได้สนุกแล้ว อีกหนึ่งจุดขายของ Connect คือการหยิบประเด็นเรื่องความแปลกแยกของคน มานำเสนอได้ค่อนข้างดี โดยซีรีส์เลือกหยิบตัวละคร ฮาดองซู เป็นเสมือนคนที่ถูกสังคมมองว่าเป็นตัวประหลาด จนถูกสังคมตัดสิน แบบไม่ยุติธรรม จนทำให้ต้องกลายเป็นคนที่โดดเดี่ยว ซึ่งประเด็นนี้ทำให้พาร์ทดราม่าของหนังทำออกมาได้ทรงพลัง และสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู และตัวฮาดองซูได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของข้อเสียของซีรีส์ Connect คือการที่ซีรีส์เล่าเรื่องแบบกระชับจนเกินไป ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ของซีรีส์เลือกโฟกัสไปที่การต่อสู้ของ ฮาดองซู และตัวฆาตกร จนลืมใส่ใจพาร์ทที่ควรจะเป็นการสืบสวนสอบสวน จนทำให้ความสมจริงในด้านนี้ของซีรีส์ดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด และทำให้บทหนังบางส่วนดูไม่สมเหตุสมผลไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวมซีรีส์ Connect ก็นับว่าเป็นอีกซีรีส์สืบสวนจากเกาหลี ที่มีเนื้อหาเข้มข้น ที่น่าจะถูกใจคอหนัง หรือซีรีส์แนวนี้ไม่น้อย แม้การสืบสวนจะไม่ได้สมจริง หรือดีงามเหมือนเรื่องอื่น ๆ แต่ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้สามารถมอบความบันเทิงแบบอัดแน่นตลอดทั้ง 6 ตอนได้อย่างดีเยี่ยม

สามารถรับชมซีรีส์ Connect ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: HanCinema

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Tokyo Vice ซีรีส์อาชญากรรมเนื้อหาเข้มข้น

Tokyo Vice เป็นผลงานซีรีส์ร่วมทุนสร้างระหว่างอเมริกา และญี่ปุ่น โดย HBO Max ซึ่งเป็นงานที่ดัดแปลงมาจากชีวิตการทำข่าวของ เจค อเดลสตีน นักข่าวอาชญากรรม สัญชาติอเมริกันที่ได้ไปทำงานในสำนักข่าวญี่ปุ่น ตัวซีรีส์ได้ผู้กำกับสายอาชญากรรมอย่าง ไมเคิล มานน์ (Heat) มาร่วมกำกับในบาง Ep. และร่วมอำนวยการสร้าง

ซีรีส์จะพาเราย้อนไปยังญี่ปุ่นช่วงยุค 90 ที่เป็นช่วงที่ เจค (ในเรื่องรับบทโดย เอนเซล แอลกอท) กำลังสอบเข้าเป็นนักข่าว จนกระทั่งเขาได้รับโอกาสเข้าทำงานในบริษัทหนังสือพิมพ์ชื่อดัง เจค ได้เริ่มไต่เต้า และทำงานในสายข่าว จนกระทั่งเขาได้ทำข่าวอาชญากรรม ที่มันเป็นเรื่องที่โยงไปยังสงครามของสองแก๊งยากูซ่า เจค ได้ใช้ความสามารถในการเป็นนักข่าว หาความจริง และนำมาตีแผ่ โดยเขาได้รับการช่วยเหลือจาก คาตางิริ (เคน วาตานาเบะ) เจ้าหน้าที่ตำรวจรุ่นเก๋า ผู้คลุกคลีอยู่กับวงการยากูซ่ามาเนิ่นนาน แต่ทว่า เจค ก็หารู้ตัวไม่ว่า เขากำลังถลำลึกลงสู่โลกที่เต็มไปด้วยอันตราย

แม้ว่าหนัง และซีรีส์อเมริกัน ที่มีบริบทในประเทศญี่ปุ่น จะมีมาไม่น้อย แต่สำหรับ Tokyo Vice นับว่าเป็นงานที่พูดถึงคนอเมริกันในญี่ปุ่น ออกมาได้โดดเด่น แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง มันเป็นซีรีส์ที่มีส่วนผสมของอาชญากรรม และหนังนักข่าว ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งยังตีแผ่วัฒนธรรมเอเชีย โดยเฉพาะในด้านดาร์ก ออกมาได้สมจริง และตรงไปตรงมาที่สุดเรื่องหนึ่ง

ช่วงต้นของซีรีส์ เป็นการนำเสนอชีวิตการแข่งขันของคนญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่การแย่งชิงกันเพื่อหางานทำ ไปจนถึงการดิ้นรน แข่งขันกันในองค์กรที่เข้มงวด ก่อนที่ซีรีส์จะค่อย ๆ  โยงเรื่องราวไปสู่โลกอาชญากรรม ซึ่งในเรื่องเราจะได้เห็นชีวิตการทำงานของแต่ละกลุ่มอาชีพ ทั้งถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย ที่ต่างต้องดิ้นรน และมีวงจรที่ไม่ต่างกันนัก ความน่าสนใจคือแทนที่ซีรีส์จะเน้นแอคชั่น หรือระทึกขวัญเหมือนหนังและซีรีส์แนวนี้เรื่องอื่น ๆ Tokyo Vice กลับเลือกพาคนดูไปสำรวจชีวิตของเหล่าผู้คนในเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สำหรับความเป็นหนังนักข่าวในซีรีส์เรื่องนี้นับว่าทำออกมาได้สนุก ชวนติดตาม ผู้ชมจะได้เห็นการปะติดปะต่อเรื่องราวจากการหาข้อมูลตามที่ต่าง ๆ ที่ค่อย ๆ ไต่ระดับความพีคขึ้นเรื่อย ๆ โดยแก่นของหนังจะพาผู้ชมไปร่วมถลำลึกสู่โลกอาชญากรรมร่วมกับตัวละคร เจค ที่แต่ละตอนตัสละครนี้จะดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามในแง่สปิริตของความเป็นหนังนักข่าวที่ต้องหาความจริง ซีรีส์ก็ยังสะท้อนจุดนี้ออกมาได้อย่างคลเส้นคงวา แม้บางช่วงอาจดูดรอปลงไปบ้างเล็กน้อย

ในพาร์ทอาชญากรรม ตัวซีรีส์ถือว่าตีแผ่ออกมาได้อย่างละเอียด สมจริง และชวนติดตาม ผู้ชมจะได้เห็นวัฒนธรรมต่าง ๆ ของยากูซ่า และการสร้างอิทธิพล ความขัดแย้ง ของเจ้าพ่อรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ บางบริบทชวนให้นึกถึง The Godfather ฉบับญี่ปุ่นหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ นอกจากสงครามยากูซ่าแล้ว ซีรีส์ยังหยิบประเด็นของการจ่ายสินบน ระบบตำรวจกังฉิน ที่เพิ่มสีสันให้ซีรีส์มีความดาร์ก ความรุนแรงอย่างที่ควรจะเป็น

โดยรวม Tokyo Vice คืออีกซีรีส์อาชญากรรม เนื้อหาเข้มข้นจาก HBO ที่หยิบนำวัฒนธรรมญี่ปุ่น มาถ่ายทอดผ่านมุมมองของตัวละครนักข่าวอเมริกันได้อย่างชวนติดตาม ซีรีส์มีพาร์ทอาชญากรรมที่ดุเดือด รุนแรง และพาร์ทการสืบหาความจริงที่ไต่ระดับความสนุกขึ้นเรื่อย ๆ ใครทีชอบซีรีส์อาชญากรรม เนื้อหาสมจริง นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ Tokyo Vice ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes, IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง