Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Man in the High Castle season 1

The Man in the High Castle คือหนึ่งในผลงานซีรีส์ฟอร์มยักษ์ยุคแรกๆ จาก Prime Video โดยเป็นซีรีส์แนวดิสโทเปีย ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ ฟิลลิป เค ดิค ซึ่งเวอร์ชั่นซีรีส์สร้างสรรค์โดย แฟรงค์ สปุตนิค (ซีรีส์ Ransom) พร้อมได้ผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง ริดลีย์ สก้อตต์ (The Last Duel) มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง

เรื่องราวของ The Man in the High Castle จะว่าด้วยโลกในรูปแบบ What if ว่าจะเป็นอย่างไรหากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของนาซีเยอรมัน และญี่ปุ่น ในขณะที่ฝั่งสัมพันธมิตรตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ตัวซีรีส์จะเล่าเหตุการณ์ในช่วงปี 1960 ผ่านตัวละคร จูเลียนา เครน (อเลกซา ดาวาลอส) หญิงสาวที่พบว่าน้องสาวของตนได้ถูกฆ่าตายโดยทหารญึ่นปุ่น เพราะเธอนั้นไปเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้าน โดยก่อนตายเธอได้ฝากฟิล์มหนังม้วนหนึ่งไว้กับจูเลยนา ซึ่งฟิล์มหนังนี้ได้ซ่อนความลับที่เหล่านาซี และญี่ปุ่น ต่างไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้

ตัวซีรีส์ค่อนข้างมาพร้อมโปรดักชัน การออกแบบเนื้อหาเรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งภาพรวมยังคงเป็นการเคารพต้นฉบับหนังสือ มีการพูดถึงบริบทของเหล่าทหารนาซี และญี่ปุ่น ในประเทศอเมริกา การดีไซน์เมือง และสังคมของผู้คนที่ต้องอยู่ใต้การปกครองของสองประเทศดังกล่าว ซึ่งซีรีส์ก็รังสรรค์ได้อย่างละเอียด และน่าตื่นตาตื่นใจราวกับหนังไซไฟฟอร์มยักษ์

ความน่าติดตามของซีรีส์ คือการผสมผสผานหลากหลายเนื้อหา หลายแนวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทการเมือง ที่พูดถึงความขัดแย้งกันเองของญี่ปุ่น และเยอรมันที่แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างลับๆ, มีพาร์ทสืบสวน ระทึกขวัญ ที่เป็นการสืบหาตัวตนของสายลับ การหักเหลี่ยมเฉือนคมของตัวละคร และพาร์ทโรแมนติก ที่พูดถึงความรักสามเศร้าของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกผูกโยงเป็นเส้นเรื่องเดียวกันที่ทำให้ตลอด 10 ตอนของซีรีส์เต็มไปด้วยความน่าติดตาม

การเดินเรื่องของซีรีส์ สามารถทำออกมาได้อย่างสนุก กระชับ ไม่ยืดเยื้อ หรือยาวจนเกินไป แต่ละตอนซีรีส์สามารถจัดสรรเนื้อหาแต่ละพาร์ทได้อย่างเหมาะสมลงตัว ทำให้ผู้ชมสามารถรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร ทั้งฝั่งตัวดี และวายร้ายของเรื่อง พร้อมทั้งปูปมไปสู่ซีซั่นที่ 2 ได้อย่างน่าสนใจ

การแสดงของทีมนักแสดงนำในซีรีส์ต่างก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะ อเลกซา ดาวาลอส ที่เป็นตัวละครหลักของเรื่อง ที่นอกจากในเรื่องนี้เธอจะพราวเสน่ห์มากๆ แล้ว ยังเป็นคนที่แบกซีรีส์ไว้อย่างอย่างน่าชื่นชม ไม่แพ้ ลูฟัส ซีเวล (Old) ที่รับบทวายร้ายหลักของเรื่องที่มีมิติ และเต็มไปด้วยความดำมืดในจิตใจที่น่าค้นหา

โดยรวม The Man in the High Castle season 1 คือการเปิดตัวเรื่องราวของซีรีส์ฟอร์มยักษ์ ที่สร้างเนื้อหาได้อย่างยิ่งใหญ่ ซีรีส์สามารถถ่ายทอดโลกในฉบับ What if ได้สมจริง และเต็มไปด้วยประเด็นที่อยากให้คนดูอยากรู้ อยากติดตามว่าเนื้อหาของซีรีส์จะลงเอยอย่างไร

สามารถรับชมซีรีส์ The Man in the High Castle season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์​ Citadel: ซีรีส์แอ็คชันฟอร์มยักษ์

Citadel เป็นอีกหนึ่งซีรีส์แนวสายลับฟอร์มยักษ์จาก Prime Video ที่ถูกวางให้เป็นแฟรนไชส์ชุดใหม่ขอสตรีมนี้ โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์โดย เดวิด เวล (ซีรีส์​ Hunters), ไบรอัน โอ และจอช อเพลบัม (ซีรีส์​ Life on Mars) พร้อมได้ โจ และแอนโธนี่ รุสโซ (Avengers: Endgame) มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง นำแสดงโดย ริชาร์ด เมดเดน (Eternals), พริยันก้า โชปรา โจนาส (Barfi), สแตนลีย์ ทุชชี (The King’s Man) และ แอชลีห์ คัมมิง (The Goldfinch)

เรื่องราวของ Citadel จะว่าด้วยหน่วยสายลับที่มีชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลกจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่างลับๆ แต่ทว่าในระหว่างทำภารกิจหนึ่งของ เมสัน เคน (ริชาร์ด เมดเดน) และนาเดย ซิงห์ (พริยันก้า โชปรา โจนาส) พวกเขาได้พบว่ามันเป็นกับดักของกลุ่มผู้ก่อการร้ายมากอำนาจ จนทำให้ภารกิจนั้นผิดพลาด และทำให้ทั้งสองต้องสูญเสียความทรงจำไปนานกว่า 8 ปี จนกระทั่งทั้งสองต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพื่อสะสางภารกิจที่ค้างไว้ พร้อมทั้งหาตัวไส้ศึกที่ซ่อนตัวอยู่ในองค์กร

Citadel เป็นซีรีส์ที่มาพร้อมการเล่าเรื่องสูตรสำเร็จของหนังสายลับ ที่แฟนซีรีส์ของ Prime Video น่าจะพอคุ้นเเคยจากซีรีส์ Jack Ryan ซึ่งในซีรีส์ก็พร้อมปล่อยของแบบจัดหนักจัดเต็ม ตั้งแต่ EP. แรก ที่เปิดตัวด้วยฉากแอ็คชั่นบนรถไฟ ที่ทั้งระทึก ตื่นตาตื่นใจ สมกับเป็นซีรีส์สายลับฟอร์มยักษ์

แต่ทว่าหลังจากนั้นซีรีส์กลับค่อยๆ ดรอปลงในหลายๆ ด้านอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นบทของซีรีส์ ที่เดินเรื่องอย่างรวดเร็ว ฉับไว จนเนื้อหาขาดเสน่ห์ หลายจุดเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะในช่วง 3 EP ท้ายของซีซั่นแรก ที่ซีรีส์เลือกที่จะเล่าเรื่องแบบสลับเส้นเรื่องปัจจุบัน และอดีต จนเนื้อหาหลักของซีรีส์วนอยู่กับที่

ในขณะเดียวกันฉากแอ็คชั่นของซีรีส์ก็ไม่สามารถสร้างความดึงดูดให้กับคนดูได้เท่าที่ควร หลายฉากดูเป็นฉากบู๊ทั่วไป ที่ไม่ได้มีความแปลกใหม่หวือหวา แต่ด้วยงานโปรดักชันที่เล่นใหญ่ ที่ยังพอไปวัดไปวา และทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีความโดดเด่นขึ้นมาบ้าง

นอกจากนี้ อีกหนึ่งจุดขายของ Citadel คือการที่ซีรีส์พร้อมหักหลังคนดูได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของซีรีส์ ที่เต็มไปด้วยจุดหักมุมแบบที่คาดไม่ถึงมากมาย และการทิ้งปมใหญ่ๆ ให้คนดูอยากติดตามเรื่องราวของซีรีส์ในซีซั่นต่อๆ ไป

โดยรวม Citadel นับว่าเป็นซีรีส์สายลับเน้นขายงานโปรดักชัน ที่พอดูได้เพลินๆ ตัวซีรีส์ยังมีกลิ่นอายของความเป็นหนังของพี่น้องรุสโซ่ ที่มีฉากแอ็คชั่นเดือดๆ และเกินจริง แต่ด้วยบทที่สูตรสำเร็จจนเกินไป อาจทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้แปลกใหม่ หรือฉีกกรอบกฎเกณฑ์ของหนังสายลับที่คุ้นเคยแต่อย่างใด

สามารถรับชมซีรีส์ Citadel ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Horror of Dolores Roach: ซีรีส์อาชญากรรม ตลกร้าย

ซีรีส์แนวอาชญากรรมจาก Prime Video ผลงานการสร้างสรรค์โดย แอร่อน มาร์ค ที่ได้หยิบพอดแคสท์แนวคดีฆาตกรรมของเขามาดัดแปลง พร้อมได้ เจสัน บลัม มารับหน้าที่ร่วมอำนวยการสร้าง นำแสดงโดย จัสตินา มาชาโด (ซีรีส์ Six Feet Under) และ อเลฮานโดร เฮอร์นันเดซ (ซีรีส์ News Amsterdam),

เรื่องราวของ The Horror of Dolores Roach จะว่าด้วย โดโลเรส (จัสตินา มาชาโด) หญิงวัยกลางคนที่เธอต้องติดคุกเพราะข้อหาค้ากัญชาไปนานถึง 16 ปี จนกระทั่งเมื่อเธอออกมาใช้ชีวิตข้างนอก เธอก็ต้องดิ้นรนเพื่อสร้างตัวใหม่ด้วยการหาที่อยู่ และงานทำ จนกระทั่งเธอได้พบกับ ลูอิส (อเลฮานโดร เฮอร์นันเดซ) อดีตเด็กหนุ่มที่เธอเคยรู้จักที่ตอนนี้เปิดร้านขชายขนมอยู่ ซึ่งลูอิส ก็ได้ช่วยเหลือเธอด้วยการให้ โดโลเรส พักที่ชั้นล่างของร้าน และให้เธอทำธุรกิจร้านนวดของตัวเอง แต่ทว่าระหว่างที่เธออยู่กับ ลูอิส ก็เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง

The Horror of Dolores Roach คือหนึ่งในซีรีส์ม้ามืดของ Prime Video ประจำปีนี้ เพราะนี่คืออีกหนึ่งซีรีส์ที่คนรักรายการ True Crime จะต้องชื่นชอบ เพราะซีรีส์มีครบทุกองค์ประกอบยอดนิยมของรายการเหล่านี้ ทั้งฆาตกรต่อเนื่อง การกินคน และการสืบสวนสุดเข้มข้น

ตัวซีรีส์สามารถเล่าเรื่องได้อย่างชวนติดตาม ด้วยความยาวเพียงตอนละ 30 นาที ทำให้เนื้อหาของซีรีส์ไม่ยืดเยื้อเกิด แต่ละตอนซีรีส์สามารถเลือกฉากจบที่โยงสู่ตอนต่อๆ ไปได้อย่างลงตัวจนคนดูอยากกดดูตอนต่อไปทันที

การเล่าเรื่องของซีรีส์จะมาพร้อมความโหด ความสยองสไตล์ของ เจสัน บลัม ที่จะไม่รุนแรง โหดร้ายจนถึงระดับเรท R แต่จะพอมีฉากที่รุนแรง โหดร้ายอยู่ประปรายตลอดทั้งเรื่อง เช่น ฉากการฆาตกรรม ฉากการแร่ศพ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ซีรีส์เลือกที่จะนำเสนอในธีมตลกร้าย ผสมกับพาร์ทสืบสวนสุดเข้มข้น เลยช่วยลดความหดหู่ของซีรีส์ลงไป ทำให้ซีรีส์ไม่ดูน่ากลัวเท่ากับ Dahmer ของ Netflix เมื่อปีที่แล้ว

นอกจากนี้ซีรีส์ยังเลือกที่จะเล่นประเด็นอาชญากรรมที่เข้มข้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าของซีรีส์ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ตัวซีรีส์นำเสนอการดิ้นรนของเหล่าชนชั้นล่างของนิวยอร์ก ที่ทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยตัวโดโลเรส ไปตลอดทั้งเรื่อง มีการพูดถึงการเอาเปรียบผู้คนในด้านต่างๆ ที่นำมาสู่เหตุการณ์การล้างแค้นในเรื่อง ซึ่งซีรีส์ก็เล่าออกมาแบบดาร์กคอเมดี้ ที่จิกกัดแบบอ้อมๆ แต่ทำออกมาได้ทรงพลัง

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม จัสตินา มาชาโด ที่ถ่ายทอดบทโดโลเรส ได้อย่างมีมิติ เธอสามารถทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยตัวละครตัวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากนี้เคมีการแสดงของเธอ และ อเลฮานโดร ก็รับส่งบทได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นสองตัวละครนักเชือดที่น่าจดจำมากๆ

โดยรวม The Horror of Dolores Roach คืออีกหนึ่งซีรีส์อาชญากรรม ที่คอหนังแนวนี้จะต้องชอบ ด้วยองค์ประกอบการเป็นซีรีส์แนวฆาตกรรมที่ครบถ้วน มีการเล่าเรื่องที่กระชับ สนุก เต็มไปด้วยจุดพีคมากมาย แบบที่ต้องดูรวดเดียวจบ

สามารถรับชมซีรีส์ The Horror of Dolores Roach ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ White House Plumbers: ซีรีส์สายลับมือสมัครเล่นมาถ่ายทอดได้อย่างบันเทิงครบรสสุดๆ

White House Plumbers คือมินิซีรีส์จาก HBO ผลงานการสร้างสรรค์โดย ปีเตอร์ ฮิวค์ และ อเล็กซ์ เกรกอรี่ ที่เคยมีผลงานอย่าง ซีรีส์ Veep โดยครั้งนี้พวกเขาได้หยิบหนึ่งในคดีที่โดงดังในอเมริกา อย่างคดีวอเตอร์เกตส์ มานำเสนอ หลังจากที่เมื่อปี 1976 เหตุการณ์นี้เคยถูกนำเสนอผ่านมุมมองนักข่าวจากหนังเรื่อง All the President’s Men มาแล้ว แต่ในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนมาเล่ามุมมองของผู้ก่อเหตุแทน

โดยซีรีส์จะว่าด้วย โฮเวิร์ด ฮันต์ (วู้ดดี้ ฮาร์เรนสัน) อดีตเจ้าหน้าที่ CIA และกอร์ดอน ลิดดี้ (จัสติน เธอรอกซ์) ที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีนิกสัน ให้ทำการจารกรรมข้อมูลต่างๆ ของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เพื่อสร้างกระแสให้ตัวนิกสัน กลับมาชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่ง ฮันต์ และลิดดี้ ก็ได้รวมทีมนักจารกรรมมือสมัครเล่น ที่ระหว่างภารกิจก็เต็มไปด้วยปัญหา และอุปสรรคมากมาย รวมถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างคดีวอเตอร์เกตส์

แม้ว่าตัวซีรีส์จะสร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกี่ยวกับเกมการแข่งขันทางการเมือง ที่น่าจะเหมาะกับคนที่พอมีพื้นฐานเรื่องการเมืองอเมริกา แต่ White House Plumbers กลับเป็นซีรีส์ที่ดูง่าย และเหมาะก้บคนทุกคนกลุ่ม แม้คนที่ไม่ได้ติดตามการเมืองมากนัก เพราะซีรีส์เลือกที่จะเล่าในมุมของการเป็นหนังสายลับ มากกว่าความเป็นหนังการเมือง

ตัวหนังสนุกในแบบหนังล้อเลียนแนวสายลับ ที่จะพาคนดูไปพบกับการทำภารกิจที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด ความตลก ของเหล่าตัวละครหลัก โดยหนังจะถ่ายทอดเรื่องราวการทำจารกรรมในแต่ละภารกิจ ตั้งแต่การแอบติดตามนักการเมืองฝั่งตรงข้าม หรือการพยายามเกลี้ยกล่อมผู้คน ให้ทำตามแผนการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจไฮไลท์คือการจารกรรมข้อมูลที่เป็นต้นเหตุของคดีวอเตอร์เกตส์ ที่เต็มไปด้วยความระทึก ซึ่งตัวซีรีส์ก็เลือกที่จะเล่าเหตุการณ์ด้วยการเพิ่มสีสันโดยเพิ่มความเกรียนของการวางแผนที่ขาดความเป็นมืออาชีพของตัวละครที่ดูแล้วทั้งลุ้น ทั้งชวนขำ และเต็มไปด้วยความวายป่วงมากมาย

นอกจากความเป็นหนังจารกรรมที่ซีรีส์ทำออกมาได้อย่างสนุกลงตัวแล้ว White House Plumbers ยังมาพร้อมพาร์ทดราม่าที่ยอดเยี่ยม ซีรีส์สามารถถ่ายทอดชีวิตของสองตัวละครหลักอย่าง ฮันต์ และลิดดี้ ออกมาได้อย่างมีหัวจิตหัวใจ ทั้งนี้ต้องขอชื่นชม วู้ดดี้ ฮาร์เรนสัน และจัสติน เธอรอกซ์ ที่ต่างมีเคมีการแสดงที่เข้ากันลงตัว ทั้งสองสามารถนำเสนอความเป็นคู่หูจารกรรมที่เปี่ยมด้วยมิติ เป็นธรรมชาติ

โดยรวม White House Plumbers เป็นอีกหนึ่งมินิซีรีส์น้ำดีจาก HBO ที่เล่าเรื่องออกมาได้บันเทิงกว่าที่คิด หนังมีทั้งความระทึกขวัญ ดราม่า และคอเมี้ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ใครที่ชื่นชอบหนังสายลับเกรียนๆ ที่เปี่ยมด้วยความบันเทิง นี่คืออีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ White House Plumbers ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

How to Become a Cult Leader: ซีรีส์สารคดี

ผลงานซีรีส์สารคดีผลงานจากทีมผู้สร้าง How to Become a Tyrant ที่ในครั้งนี้ยังได้ ปีเตอร์ ดิงค์เลจ (ซีรีส์ Games of Thrones) กลับมารับหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่อง ตามชื่อเรื่องเลย คือในครั้งนี้เปลี่ยนจากการเล่าเรื่องของประวัติศาสตร์เผด็จการ สู่การเล่าเรื่องของเหล่าเจ้าลัทธิอื้อฉาวแทน

How to Become a Tyrant จะเป็นการพูดถึงเรื่องราวของ 6 ผู้นำลัทธิ ได้แก่ ชาร์ลส์ แมนสัน, จิม โจนส์, ไฮมี โกเมซ, มาร์แชล & บอนนี่, โชโก อาซาฮาระ และ มูนซองมยอง ที่ล้วนแต่เป็นเจ้าลัทธิที่สร้างชื่อเสียงอื้อฉาวในช่วง 1970 และบางลัทธิยังสร้างอิทธิพลมาจนทุกทุกวันนี้ ซีรีส์จะพาทุกคนไปพบกับประวัติของการก่อสร้างลัทธิ และวิธีการชักนำผู้คนของคนเหล่านี้ ว่าทำอย่างไรให้มีผู้คนคล้อยตาม

ตัวซีรีส์ How to Become a Cult Leader ยังคงมาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องเหมือน How to Become a Tyrant คือการเล่าเรื่องที่ให้อารมณ์เหมือนคนดูกำลังอ่านหนังสือแนว How to ผสมประวัติศาสตร์ มีการนำเสนอที่จิกกัดผ่านบทพูด และการตัดต่อ โดยเฉพาะจุดเด่นของซีรีส์ที่ยังคงเป็นงานอนิเมชั่นที่ใช้ประกอบการเล่าเรื่อง ที่ช่วยให้คนดูเห็นภาพเหตุการณ์ชัดเจนตัดสลับกับฟุตเทจจริง

ในด้านเนื้อหาซีรีส์ทำได้ค่อนข้างดี มีข้อมูลทั้งที่คนส่วนใหญ่พอรู้อยู่แล้ว และข้อมูลในรูปแบบที่คุณอาจไม่เคยได้ยินที่ไหน โดยซีรีส์ได้เหล่านักจิตวิทยา นักเขียน และคนที่เป็นอดีตสมาชิกลัทธิ มาร่วมให้สัมภาษณ์ ซึ่งแต่ละคนได้มอบข้อมูลที่แตกต่างกัน ที่น่าชื่นชมคือการเล่าแบบ How to ที่มีการวิเคราะห์ จิตใจและวิธีการของเจ้าลัทธิที่มอบสาระแบบศาสตร์จิตวิทยา ที่ถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจมาก

สำหรับตอนที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ ของซีรีส์ชุดนี้คือ จิม โจนส์ เจ้าลัทธิแห่งโจนส์ทาวน์ และ โชโก อาซาฮาระ เจ้าลัทธิแห่งโอมชินริเกียว ที่เดิมทีเรื่องจริงของทั้งสองลัทธิก็เต็มไปด้วยโศกนาฎกรรมที่น่าสะพรึง และเมื่อซีรีส์นำมาถ่ายทอดผ่านทั้งอนิเมชั่น และฟุตเทจจริง ทำให้เนื้อหาทั้งสองตอนที่มีความน่ากลัว และเข้มข้นมากๆ

ในส่วนของข้อเสียของ How to Become a Cult Leader คือการที่ซีรีส์พยายามทำตามสูตร How to Become a Tyrant มากเกินไป จนทำให้ซีรีส์ชุดนี้ขาดความแปลกใหม่ และยังไม่สามารถเล่าเรื่องได้ดีเท่ากับเรื่องก่อนหน้า หลายตอนซีรีส์เล่าออกมาอย่างรวบรัด มีตอนจบที่ห้วนเกินไป จนผู้ชมได้สาระเรื่องราวไม่ครบอย่างที่ควร

โดยรวม How to Become a Cult Leader ถือว่าเป็นซีรีส์สารคดี ที่ดูง่าย ดูสนุก แบบพอเพลินๆ อาจไม่ได้มีสาระ เนื้อหาที่ลึกล้ำอะไรมาก แต่หากใครที่สนใจเรื่องของลัทธิ หรือยังชื่นชอบการเล่าเรื่องจาก How to Become a Tyrant เรื่องนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม How to Become a Cult Leader ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The White Lotus season 2: ยังเป็นซีซั่นที่รักษามาตรฐานได้ไม่แพ้ภาคแรก

ซีซั่นที่ 2 ของซีรีส์ Anthology ดราม่าน้ำดีจาก HBO ผลงานการสร้างสรรค์โดย ไมค์ ไวท์ (School of Rock) โดยในครั้งนี้ซีรีส์ได้ทีมนักแสดงนำชุดใหม่มารับบทนำ นำทีมโดย ธีโอ เจมส์ (Divergent), ออเบรย์ พลาซา (Child’s Play), วิล ชาร์ป (ซีรีส์ Gari/Haji), อดัม ดิมาร์โค (ซีรีส์ The Order) และ เจนนิเฟอร์ คอลลิดจ์ (American Pie) ที่กลับมารับบทเดิมจากซีซั่นแรกอีกครั้ง

เนื้อหาในซีซั่นนี้ ยังมาพร้อมคอนเซ็ปต์เดียวกับซีซั่นแรก โดยจะว่าด้วยเรื่องราวช่วงเวลาพักร้อนของหลากครอบครัว หลากผู้คน ที่ได้มาพักที่โรงแรม The White Lotus ซึ่งครั้งนี้ซีรีส์ได้เปลี่ยนโลเคชัน จากฮาวาย มาเป็นเมืองซิซิลี ประเทศอิตาลี ซึ่งการพักร้อนครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยเรื่องรักสามเศร้า การค้นหาตัวเอง และมิตรภาพ ที่เหตุการณ์ทุกอย่างค่อยๆ ปานปลายจนนำมาสู่โศกนาฎกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด

ตัวซีรีส์ The White Lotus ซีซั่นนี้จะเล่าเรื่องราวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับในซีซั่นแรก แม้ว่าจะมีการใช้ตัวละครเก่ามาเล่าอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีการอ้างอิงจากซีซั่นแรกแต่อย่างใด โดยรูปแบบการเล่าเรื่องยังคงสไตล์เดิม คือการถ่ายทอดชีวิตของเหล่าคนรวยที่เดินทางมาพักร้อน และต่างคนก็มาพร้อมปมปัญหา และจุดมุ่งหมายที่ต่างกันไป

การเล่าเรื่องของซีซั่นนี้ทำออกมาได้อย่างชวนติดตาม โดยประเด็นของซีซั่นนี้จะโฟกัสไปที่ความรักในรูปแบบต่างๆ ทำให้เนื้อหาในซีซั่นนี้ค่อนข้างมีความโรแมนติก และเต็มไปด้วยฉากเลิฟซีนมากกว่าซีซั่นแรก แต่ถึงแม้ว่าหนังจะหนักพาร์ทโรแมนติก ความสนุกของซีรีส์กลับไม่น้อยลงเลย

ตัวซีรีส์ค่อยๆ ไต่ระดับความสนุก ความน่าติดตามในตลอดทั้ง 7 ตอน ได้อย่างมีชั้นเชิง ด้วยการค่อยๆ สร้างสถานการณ์ต่างๆ ที่ชวนกระอักกระอ่วน ไม่น่าไว้วางใจ จนคนดูอยากตคิดตามเรื่องราวไปตลอดเรื่องจนจบซีซั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 ตอนท้ายของซีรีส์ที่เต็มไปด้วยจุดพีคมากมายที่ชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องไปจนนาทีสุดท้ายของซีรีส์

โดยรวม The White Lotus season 2 คืออีกหนึ่งซีรีส์ Anthology ที่มาตรฐานที่ไม่ตกหล่นจากซีซั่นแรก ซีรีส์สามารถมอบความสนุก ความบันเทิง ที่ไต่ระดับความเข้มข้นในตลอดทั้ง 7 ตอนแบบที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ และจุดหักมุมมากมายที่คนดูคาดเดาไม่ได้ ใครที่เป็นคอซีรีส์ดราม่าน้ำดี ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชมซีรีส์​ The White Lotus season 2 ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Five Days: ซีรีส์ดราม่า สืบสวน แนวตามหาคนหาย

Five Days เป็นผลงานซีรีส์แนวดราม่า สืบสวนสอบสวน จาก HBO ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ที่มีคุณแม่ และลูกชาย และลูกสาว กำลังเดินทางไปเยี่ยมคุณปู่ทวด ในระหว่างทางผู้เป็นแม่ได้ตัดสินใจแวะระหว่างทางเพื่อทำธุระบางอย่าง แต่ทว่าหลังจากนั้นผู้เป็นแม่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งลูกอีกสองคนไว้บนรถ จนเหตุการณ์ทั้งหมดได้ปานปลายนำมาสู่คดีคนหาย ในขณะที่ แมทท์​ (เดวิด โอเยโวโล) สามีของหญิงที่หายไป ก็ต้องรับมือกับสิ่งต่างๆ ทั้งการเป็นพ่อที่ปกป้องลูกๆ รวมทั้งพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตนเอง

โดยซีรีส์ Five Days นับว่าเป็นงานที่ชวนให้นึกถึงนิยาย หรือซีรีส์สไตล์ ฮาลาน โคเบน ที่จะพูดถึงการหายตัวไปอย่างปริศนาของบุคคล และกลุ่มตัวละครที่เป็นคนในครอบครัว และคนรอบข้าง ที่ต้องเผชิญกัยสถานการณ์นี้ ซึ่งในเรื่องนี้อาจไม่ได้เป็นซีรีส์แนวสืบสวน ระทึกขวัญจ๋ามากนัก แต่ซีรีส์จะพาคนดูไปสำรวจ และติดตามเรื่องราวผ่านหลากเส้นเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทของคนในครอบครัว, เจ้าหน้าที่ตำรวจ และสื่อมวลชน

ความสนุกของซีรีส์ Five Days คือการที่ซีรีส์เล่าเรื่องโดยโฟกัสช่วงเวลา 5 วัน ได้แก่ วันแรก วันที่สาม วันที่ 28 วันที่ 33 และวันที่ 79 ซึ่งคนดูจะได้รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดไปพร้อมๆ กับตัวละคร และด้วยวิธีการเล่าที่แบ่งออกเป็นหลากเส้นเรื่อง ทำให้ซีรีส์เต็มไปด้วยเนื้อหาหลากรสที่ชวนติดตาม โดยเฉพาะในพาร์ทครอบครัว ที่คนดูจะได้เห็นหลายบริบทที่เกิดขึ้น ทั้งความขัดแย้งระหว่าง พ่อเลี้ยง และลูกติด หรือความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

ในขณะที่พาร์ทสืบสวน แม้จะไม่ได้เข้มข้นมาก แต่ก็สามารถทำหน้าที่ควบคู่ไปกับพาร์ทดราม่าได้อย่างลงตัว เราจะได้เห็นการทำหน้าที่ของตำรวจในการรวบรวมความจริง และการทำหน้าที่ของสื่อไปพร้อมๆ กัน ซึ่งตลอดทั้ง 5 ตอนของซีรีส์ก็เรียกได้ว่ามีเซอร์ไพรส์ และจุดหักมุมที่ชวนติดตามในแต่ละตอน แบบที่คนดูไม่คาดคิด

ในส่วนของข้อด้อยซีรีส์ Five Days คือการที่ซีรีส์เล่าเหตุการณ์หลายเส้นเรื่อง หลายตัวละครมากเกินไป จนทำให้เนื้อหาของซีรีส์บางช่วงดูดรอปลงไปพอสมควร โดยเฉพาะในช่วงของ 2 ตอนท้ายของเรื่อง ที่ถูกเล่าอย่างค่อนข้างรวบรัดตัดตอน จนทำให้ซีรีส์มันจบไม่เคลียร์เท่าที่ควร

โดยรวม Five Days เป็นซีรีส์ ที่เล่าเรื่องออกมาได้อย่างสนุก ชวนติดตาม แม้ว่าจะไม่สุดในหลายๆ ด้าน แต่ก็นับว่าเป็นซีรีส์ที่ผสมระหว่างพาร์ทดราม่า และพาร์ทสืบสวนที่ลงตัว มีความครบรส และเค็มไปด้วยเซอร์ไพรส์มากมายที่คนดูคาดเดาเนื้อหาไม่ได้

สามารถรับชมซีรีส์ Five Days ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Idol: งานซีรีส์สุดร้อนแรงจาก HBO

ผลงานซีรีส์จาก HBO ที่สร้างสรรค์โดย แซม เลอวิแทน (ซีรีส์ Euphoria) ที่เรียกได้ว่าเป็นงานที่เต็มไปด้วยปัญหาการสร้างมากมาย ทั้งจากตัวผู้สร้าง และนักแสดงเอง จนทำให้ซีรีส์ได้รับเสียงตอบรับไม่ดีนักจากคนดู และนักวิจารณ์ จนทำให้ซีรีส์ต้องถูกลดตอนจาก 6 ตอน เหลือเพียง 5 ตอนเท่านั้น

เรื่องราวของซีรีส์ The Idol จะว่าด้วย จอสเซลิน (ลิลลี่ โรส เดปป์) นักร้องสาวที่กำลังจะปล่อยผลงานอัลบั้มใหม่ของตัวเอง แต่ทว่าเธอกำลังอยู่ในช่วงที่พึ่งสูญเสียแม่ ทำให้จิตใจของเธอมีความอ่อนไหว เปราะบาง นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื้อฉาวมากมายจากรสนิยมเซ็กซ์อันสุดโต่งของเธอ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับ เทโทรส (เดอะ วีคเอนด์) ชายลึกลับที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนลึกลับ ที่ได้เข้ามาคบหากับจอส และค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในชีวิต และการทำงานของเธอ

ตัวซีรีส์มาพร้อมความแรงระดับ ฉ20+ โดยเฉพาะเนื้อหาที่พูดถึงฉากเซ็กซ์ในเรื่อง ที่ทำออกมาได้รุนแรง ดิบเถื่อน จนกลายเป็นจุดเด่นกว่าเนื้อหาของซีรีส์ด้วยซ้ำ ซีรีส์พยายามใช้ฉากเหล่านี้เพื่อสะท้อนปมปัญหาบางอย่างของตัวละคร รวมถึงพยายามถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่าง จอส และเทโทรส แต่น่าเสียดายที่ซีรีส์ไม่สามารถใช้ฉากเหล่านี้ในการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ จนกลายเป็นหนึ่งในจุดบอดที่คนดู และนักวิจารณ์ต่างเบือนหน้าหนี

ด้านการดำเนินเรื่องซีรีส์พยายามสะท้อนภาพชีวิตของศิลปินชื่อดัง ที่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ ผสมกับการพูดถึงการเข้ามามีบทบาทของกลุ่มลัทธิที่นำโดยเทโทรส แต่ด้วยความที่ซีรีส์ต้องลดจำนวนความยาวลงเนื่องจากปัญหาการสร้าง ทำให้ซีรีส์สับสนว่าจะเล่าเนื้อหาไปทิศทางไหน จนทำให้ซีรีส์ไปไม่สุดสักทาง และหาแก่สารที่ต้องการจะสื่อแทบไม่ได้

ด้านการแสดงใน The Idol ต้องขอชื่นชมตัว ลิลลี่ โรส เดปป์ ที่เรียกได้ว่าเป็นคนแบกซีรีส์ไว้โดยแท้จริง แม้บทบาทของเธอจะดูแรง ดูไร้เหตุไร้ผล แต่เธอก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ทีมนักแสดงคนอื่นๆ หนังกลับใช้งานได้ไม่คุ้มเท่าที่ควร ด้าน เดอะ วีคเอนด์ ที่มาประเดิมงานซีรีส์เรื่องแรก ก็มาพร้อมบทบาทที่ขาดเสน่ห์ ขาดมิติให้คนดูรู้สึกร่วม และส่วนที่น่าเสียดายอย่างยิ่งคือบทของ เจนนี่ แบล็คพิงค์ ที่ถูกลดบทบาทในแต่ละตอนจนแทบไม่มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง

โดยรวม The Idol เป็นงานที่น่าผิดหวังจาก HBO ซีรีส์เต็มไปด้วยปัญหา ทั้งด้านบท การเล่าเรื่อง ตัดต่อ และการแสดง จนทำให้คนดูแทบไม่สามารถรับรู้ได้ว่าแก่นสารของซีรีส์เรื่องนี้คืออะไร และต้องการมอบอะไรแก่ผู้ชม

สามารถรับชมซีรีส์ The Idol ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
series

รีวิวซีรีส์ I’m a Virgo season 1: ซีรีส์ดราม่า ตลกร้าย ที่เล่นกับความแฟนตาซี และความเป็นหนัง Coming of age ได้อย่างลงตัว

ผลงานซีรีส์ดราม่า ตลกร้าย จาก Prime Video ที่เป็นการหันมาสร้างงานซีรีส์เรื่องแรกของ บูทส์ ไรลีย์ (Sorry to Bother You) โดยจะว่าด้วยเรื่องราวของ คูตี้ (จาร์เรล เจอร์โรม) เด็กหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับร่างกายที่ใหญ่โตกว่ามนุษย์ทั่วไป ทำให้ครอบครัวของเขาต้องเลี้ยงดูโดยซ่อนเขาไว้เพียงในบ้าน และไม่ให้เจอสังคมจนกว่า คูตี้จะอายุ 21 ปี

แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กหนุ่ม ทำให้ในวัย 18 ปี คูตี้ ได้ออกจากบ้าน และได้เจอกับแก๊งเพื่อนที่ไม่มองว่าเขาแปลกประหลาด ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นกลับนำมาสู่ความวุ่นวายกว่าที่คิด เมื่อคูตี้ได้กลายเป็นไวรัลที่โด่งดังในเมืองจนมีทั้งคนที่รัก และเกลียดเขา เรื่องราวของมิตรภาพ และการต่อสู้เพื่อนความเท่าเทียมก็เริ่มต้นขึ้น

ตัวซีรีส์มาพร้อมการเล่าเรื่องสไตล์ The Boys ที่จะพาคนดูไปพบกับโลกของตัวละครที่เต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาด และมีรูปแบบการเล่าเรื่องที่ฉีกขนบเดิมๆ ของหนังสูตรสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการจิกกัดหนังฮีโร่ ไปจนถึงการจิกกัดหนังแฟนตาซี ผ่านวีรกรรมต่างๆ ของตัวละคร คูตี้ และผองเพื่อน ที่เต็มไปด้วยความเกรียน ความเหนือจริงแบบที่คนดูคาดเดาไม่ได้

ด้านมุกตลก ซีรีส์จะเน้นไปท่ีมุกตลกของแก๊งผองเพื่อน และคาแรคเตอร์ของตัว คูตี้ที่ค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความละอ่อนเดียงสาของคูตี้ ที่สามารถทำให้คนดูทั้งขำไปกับวีรกรรมซื่อๆ และหลงเสน่ห์ของตัวละครนี้ได้ไม่ยาก ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมการแสดงของ จาร์เรล เจอร์โรม ที่ถ่ายทอดบท คูตี้ ออกมทได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ

พาร์ทความแฟนตาซีของซีรีส์ I’m a Virgo นับว่าเป็นอีกจุดขายของเรื่อง เพราะนอกจาก คูตี้ที่มีความเป็นยักษ์ใหญ่ใจดีแล้ว หนังยังสร้างสรรค์ตัวละครเหนือมนุษย์อื่นๆ เข้ามาเพิ่มสีสันให้หนัง ซึ่งในส่วนนี้ได้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ซีรีส์มีความหลุดโลกที่พร้อมจะเกิดอะไรก็ได้ทุกเมื่อ แบบทั้งที่คนดูขำออก และขำไม่ออก

โดยรวม I’m a Virgo คือซีรีส์ที่ทำออกมาได้สนุกกลมกล่อม ตัวซีรีส์มีทั้งความดราม่า คอเมดี้ และแอ็คชัน ที่ผสมผสานกันลงตัว มีกลิ่นอายของความเป็นซีรีส์ล้อเลียนฮีโร่แบบ The Boys นอกจากนี้ยังได้ปูทางสู่ซีซั่นต่อๆ ไปได้อย่างน่าติดตาม

สามารถรับชมซีรีส์ I’m a Virgo season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวสารคดี The Lost Leonardo: สารคดีที่เล่าเรื่องราวของภาพ ซัลวาดอร์มุนดิ ออกมาได้ครบรส

หากพูดถึง ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะในแง่ของศิลปะ ที่ ดาวินชี่ คือหนึ่งในบุคคลสำคัญจากยุคเรเนอซองค์ ที่ผู้คนทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้หนึ่งในภาพวาดของ ดาวินชี่ ที่ได้เป็นกระแสในวงกว้างคือ ซัลวาดอร์ มุนดิ หนึ่งในภาพวาดที่ (เชื่อว่า) เป็นผลงานของ ดาวินชี่ ที่สูญหายไปกว่าร้อยปี แต่ถูกค้นพบอีกครั้ง พร้อมถูกบูรณะใหม่

The Lost Leonardo คือผลงานหนังสารคดีที่กำกับโดย อังเดรียส โคฟอร์ด ที่นำเสนอเรื่องราวของภาพวาด ซัลวาดอร์ มุนดิ ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบภาพวาดชิ้นนี้ ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ที่ชวนน่าค้นหามากมาย และการชื่นชมผลงานนี้ในฐานะงานศิลปะจากสุดยอดศิลปิน ซึ่งความที่ ซัลวาดอร์ มุนดิ เต็มไปด้วยปูมหลังที่ไม่ธรรมดานี่เอง ทำให้ภาพนี้ได้ถูกโยงสู่เรื่องการเมือง และการแย่งชิงมากมาย ที่ส่งผลให้ภาพวาดนี้มีราคาถึง 400 ล้านเหรียญฯ

ด้วยความที่ตัวเรื่องราวของภาพวาดเต็มไปด้วยมิติต่างๆ ที่น่าสนใจ น่าค้นหา ทำให้ The Lost Leonardoท เป็นมากกว่าสารคดีศิลปะ ที่สัมภาษณ์ผู้คน และชื่นชมความงามเพียงอย่างเดียว แต่ในเรื่องนี้ผู้ชมจะได้ไปร่วมค้นหาคำตอบ และทฤษฎีมากมายที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดนี้ พร้อมทั้งยังมีการนำเสนอสงครามการแย่งชิงภาพวาดนี้ของเหล่าคนมหาเศรษฐี ผู้มีอำนาจ ที่นำมาสู่เหตุการณ์สุดเข้มข้นมากมาย

ในด้านการเล่าเรื่อง The Lost Leonardo ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ของเหล่าผู้คนในวงการศิลปะทั่วโลก มาร่วมถกเถียงถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับภาพวาด ซึ่งเต็มไปด้วยการถกประเด็นต่างๆ ที่สนุก เข้มข้น เคล้าด้วยสาระความรู้ตามสูตรของหนังสารคดี

แต่ส่วนที่เกินคาดมากๆ ของสารคดีเรื่องนี้คือ การโยงประเด็นการเมืองที่เข้ามามีบทบาทต่อภาพวาดนี้ ไม่ว่าจะเป็น การครอบครองภาพวาดนี้โดยผู้มีอำนาจของรัสเซีย ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนมือมาสู่เจ้าของใหม่คือเจ้าชายซาอุฯ ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับภาพวาดนี้มาจนทุกวันนี้ ที่น่าชื่นชมคือผู้สร้างสารคดีได้ถ่ายทอดประเด็นต่างๆ ออกมาแบบกำลังดี ทำให้ได้ส่วนผสมของสาระความรู้ และความบันเทิง ที่ลงตัวกำลังดี

หากใครที่ชื่นชอบ ดาวินชี่ หรือเรื่องราวศิลปะที่เต็มไปด้วยสาระ เบื้องหลัง ที่น่าลึกลับ น่าสนใจ The Lost Leonardo คืออีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาด ตัวสารคดีผสมผสานความเป็นสารคดีความรู้ และความบันเทิง ความซื่อตรงในการถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ที่เมื่อดูจบแล้วคุณอาจแทบไม่เชื่อว่าภาพศิลปะหนึ่งภาพ จะสามารถส่งอิทธิพลให้แก่ผู้คนจำนวนมากทั้งในทางตรง และทางอ้อมอย่างไม่น่าเชื่อ

สามารถรับชมสารคดี​ The Lost Leonardo ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์​ Dr. Death: ซีรีส์สร้างจากเรื่องจริง ของศัลยกรรมแพทย์ที่ถูกสงสัยว่าคือสาเหตุของการตาย และพิการของคนไข้มากมาย

Dr. Death เป็นผลงานซีรีส์จากช่อง Peacock ที่สร้างจากคดีจริงของ ศัลยกรรมแพทย์ ที่ถูกต้องสงสัยว่าเป็นสาเหตุการพิการ และการตายของคนไข้จำนวนมาก ซึ่งเวอร์ชั่นซีรีส์​ได้ แพทริค แมคมานัส (ซีรีส์ Homcoming) มารับหน้าที่สร้างสรรค์ พร้อมได้ทีมนักแสดงมากฝีมือมาร่วมแสดงนำ นำทีมโดย โจชัว แจ็คสัน (ซีรีส์ Fatal Attraction), คริสเตียน สเลเทอร์ (ซีรีส์ Mr.Robots) และ อเล็กซ์ บาลวิน (Tár)

ซีรีส์จะพาคนดูไปพบกับเรื่องราวของ ดร.แรนดัล เคอร์บี้ (คริสเตียน สเลเทอร์) และ ดร.โรเบิร์ต แฮนเดอร์สัน (อเล็กซ์ บาลวิน) สองแพทย์จากดัลลัส ที่เกิดสงสัยในตัว คริสโตเฟอร์ ดันท์ (โจชัว แจ็คสัน) ศัลยกรรมแพทย์ ที่ถูกคนไข้ และหมอด้วยกันคิดว่าเขาคือสาเหตุที่ทำให้คนไข้มากมายต้องตาย หรือพิการ ทั้งสองแพทย์เลยต้องร่วมก้นสืบหาความจริงของ ดันท์ และเอาผิดหมอแห่งความตายผู้นี้

ความน่าสนใจของ Dr. Death คือเป็นซีรีส์ที่หยิบความเป็นเรื่องจริง มาผสมผสานก้บเรื่องแต่ง ออกมาได้อย่างลงตัว จนทำให้ตลอดความยาวของซีรีส์ชุดนี้ เหมือนพาคนดูไปพบกับซีรีส์อาชญากรรมน้ำดี ที่ดูสนุก ชวนลุ้นระทึก ไม่ต่างจากซีรีส์ชุด American Crime Story ของไรอัน เมอร์ฟี่ เลยก็ว่าได้

ในแง่ของพาร์ทสืบสวนซีรีส์ทำออกมาได้ค่อนข้างดี เป็นการหยิบตัวละครหมอ มารับบทนำในฐานะนักสืบ แม้ว่าการวิธีการสืบจะเต็มไปด้วยความตะกุกตะกัก ไม่ได้ดูเป็นมืออาชีพมากนัก แต่ด้วยเคมีของ อเล็กซ์ บาลวิน และคริสเตียน สเลเทอร์ ที่เข้าคู่กันราวกับเป็นคู่หูนักสืบมืออาชีพ และวิธีการสืบสวนที่สมจริง ส่งผลให้พาร์ทสืบสวนของเรื่องนี้เป็นไปอย่างน่าติดตามในตลอดทั้ง 8 ตอน

นอกจากพาร์ทสืบสวนแล้ว ตัวซีรีส์ยังได้เล่าตัดสลับกับเส้นเรื่องอดีตของ คริสโตเฟอร์ ดันท์ ที่พูดถึงจุดเริ่มต้นในวิขาชีพการแพทย์ และไทม์ไลน์ชีวิตที่ส่งผลให้เขากลายเป็นหมอแห่งความตาย ที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม ความหลงตัวเอง และปัญหาครอบครัว น่าเสียดายที่ในพาร์ทนี้ซีรีส์เล่าแต่มุมดาร์กๆ ของ ดันท์ แต่กลับไม่ได้พูดถึงเหตุและผลความเลวร้ายของตัวละครเท่าไหร่นัก

ในส่วนของข้อเสียซีรีส์​ Dr. Death คือการที่ซีรีส์เล่าเนื้อหาตลอด 8 ตอนได้ค่อนข้างยืดยาวจนเกินจำเป็น ซีรีส์พยายามโฟกัสที่พาร์ทดราม่าของ ดันท์ จนพาร์ทสืบสวนไม่ค่อยเดินหน้าเท่าไหร่นัก จนทำให้ในระหว่างตอน มีฉากที่ชวนง่วงเหงาหาวนอนค่อนข้างเยอะ และทำให้ซีรีส์ไปได้ไม่สุดในทั้งด้านดราม่า ระทึกขวัญ หรือสืบสวน อย่างที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม Dr.Death นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์สร้างจากเรื่องจริง ที่หยิบเรื่องของหมอออกมาได้สนุก ซีรีส์เต็มไปด้วยฉากผ่าตัดที่ชวนหวาดเสียว และพาร์ทสืบสวนที่ชวนติดตาม แม้ว่าจะมีช่วงที่น่าเบื่อไปบ้าง แต่หากใครที่ชอบซีรีส์สืบสวน หรือหนังที่สร้างจากคดีจริง แนะนำว่าไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์​ Dr. Death ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Black Mirror season 6: การกลับมาของซีรีส์ Anthology พลอตสุดล้ำ

การกลับมาอีกครั้งของซีรีส์แนว Anthology หรือซีรีส์เนื้อหาจบในตอน ที่โด่งดังที่สุดของ Netflix โดยครั้งนี้ยังคงมาพร้อมการนำเสนอเรื่องราวของไซไฟ และเทคโนโลยี ที่นำมาสู่เหตุการณ์ชวนระทึก หักมุม เหนือการคาดเดามากมาย โดยภายในซีซั่นนี้จะมาพร้อม 5 ตอน 5 เรื่อง ได้แก่

EP.1 Joan Is Awful

ว่าด้วยเรื่องราวของ โจน (แอนนี่ เมอร์ฟี่) หญิงสาวที่ไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป ที่มีชีวิตเทาๆ ทั้งการแอบคุยกับคนรักเก่า, การไล่พนักงานออกอย่างเลือดเย็น แต่ทว่าในวันหนึ่งชีวิตของโจน ก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อเธอพบว่าชีวิตของเธอถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์ลงบนสตรีมมิงชื่อดัง แถมได้ ซัลมา ฮาเยก มารับบทเป็นเธอ จากซีรีส์ดังกล่าว ทำให้โจนสูญเสียความเป็นส่วนตัวไป รวมถึงโดนสังคมตัดสินความพฤติกรรมในซีรีส์ เธอเลยต้องหาทางหยุดยั้งเหตุการณ์นี้ให้ได้

EP.2 Loch Henry

คู่รักวัยรุ่น ที่ได้เดินทางไปยังเมืองบ้านเกิดของฝ่ายชาย โดยทั้งสองมีจุดมุ่งหมายในการถ่ายทำสารคดี True Crime ของคดีดังที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ทว่าระหว่างที่พวกเขากำลังถ่ายทำอยู่นั้นเอง ทั้งสองก็ได้พบกับความจริงอันน่าขนลุกที่ไม่มีใครคาดคิด

EP.3 Beyond the Sea

เรื่องราวของสองเจ้าหน้าที่อวกาศ ที่ต้องทำงานอยู่บนยานอวกาศ และใช้หุ่นร่างเสมือนของพวกเขาในการใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัว ผ่านการถอดจิต แต่ทว่าเรื่องหน้าเศร้าก็เกิดขึ้น เมื่อครอบครัวของ เดวิด (จอร์ช ฮาร์เนต) หนึ่งในเจ้าหน้าที่อวกาศ ได้ถูกฆาตกรรมยกบ้านอย่างโหดร้าย ทำให้ คลิฟต์ (แอร่อน พอลล์) ได้เสนอที่จะให้ เดวิด ยืมร่างหุ่นของเขาในการได้สัมผัสชีวิตบนโลกอีกครั้ง แต่การกระทำดังกล่าว ก็นำพามาสู่เหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล

EP.4 Mazey Day

เรื่องราวของ ปาปารัซซี่สาว ที่หันกลับมารับงานอีกครั้ง หลังจากที่ลาวงการไปนาน โดยเธอได้ติดตามหาภาพของนักแสดงสาวชื่อดัง ที่มีข่าวลือว่าเธอนั้นกำลังติดยาเสพติดอย่างหนัก และกำลังซุ่มรักษาตัวในที่ห่างไกล แต่ทว่าเมื่อไล่ล่าหาความจริงไปเรื่อยๆ เธอก็ต้องพบกับเรื่องน่าสยดสยองที่ไม่คาดคิดมาก่อน

EP,5 Demon 79

นิด้า (แอนจานา วาซาน) หญิงสาวสัญชาติอินเดึยที่ทำงานเป็นพนักงานร้านเสื้อผ้า ที่ถูกกดดันจากเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้าที่เหยียดเชื้อชาติของเธอ จนกระทั้่งวันหนึ่ง นิด้า ได้ปลดปล่อยคำสาปในเครื่องรางลึกลับ จนทำให้ ปีศาจนาม แกป (ปาปา อิสซีดู) ได้หลุดออกมา พร้อมมอบคำเตือนต่อนาด้าว่า หากเธอไม่ทำการฆ่าคนให้ได้ 3 คน ก่อนวันแรงงาน โลกมนุษย์จะลุกเป็นไฟ

สำหรับภาพรวมของ Black Mirror ซีซั่นนี้อาจไม่ได้เน้นขายธีมเรื่องไซไฟ โลกอนาคตเหมือนที่ผ่านมามากนัก แต่เนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความเป็นซีรีส์อาชญากรรม มีการอ้างอิงเหตุการณ์คดีฆาตกรรมจริงๆ มาใช้ในแต่ละตอน พร้อมทั้งยังใส่กลิ่นอายความเป็นหนังสยองขวัญไปเพิ่ม ทำให้แต่ละตอนมีความลุ้นระทึก ความโหด ดิบ ที่ไม่ค่อยได้เห็นในซีรีส์ชุดนี้

ส่วนตอนที่ค่อนข้างน่าประทับใจ คือตอน Joan is Awful ที่เป็นการเปิดซีซั่นได้สมกับความเป็น Black Mirror มากที่สุด ทั้งการเล่นกับความล้ำของเนื้อหา ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นที่น่าสนใจ ใกล้ตัวกับทุกคน นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นที่ Netflix ล้อเลียนตัวเองได้อย่างชาญฉลาด เรียกได้ว่าเป็นตอนที่ทั้งสนุก และเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ที่สุดของซีซั่นนี้

โดยรวม Black Mirror ซีซั่น 6 นับว่าเป็นการกลับมาของซีรีส์ Anthology ที่สมการรอคอย ซีรีส์ยังรักษาคุณภาพของแต่ละตอนไว้ได้เป็นอย่างดี แม้ธีมจะฉีกจากเดิมไปบ้างก็ตาม ยิ่งหากใครที่ชื่นชอบซีรีส์อาชญากรรม สืบสวนสอบสวน น่าจะเพลิดเพลินกับหลายตอนในซีซั่นนี้ไม่น้อย

สามารถรับชม Black Mirror season 6 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

นิค ฟิวรี่ กลับมาทำภารกิจปกป้องโลกอีกครั้ง ในตัวอย่างแรกซีรีส์ Secret Invasion

เมื่อไม่นานมานี้ Marvel Studios ก็ได้ทำการปล่อยตัวอย่างแรกของซีรีส์เรื่องใหม่จากจักรวาล MCU ที่กำลังจะฉายในปีหน้าอย่าง Secret Invasion ออกมายั่วน้ำลายให้แฟน ๆ ได้ชมกันแล้ว โดยทางค่ายได้ทำการปล่อยตัวอย่างซีรีส์ชุดนี้ภายในงาน D23 ที่เป็นการประกาศโปรเจกต์ใหม่ ๆ ทั้งหนัง และซีรีส์ ที่จะฉายโรง และ Disney+ ซึ่งก็รวมถึงโปรเจกต์จาก MCU ด้วย

สำหรับ Secret Invasion จะเป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากซีรีส์คอมิคชื่อเดียวกันที่มีความยาว 8 เล่มจบ ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2008 โดยเนื้อหาของซีรีส์คอมิคก็จะว่าด้วยเหล่ามนุษย์ต่างดาวชาวสครัลล์ ที่มีความสามารถในการปลอมตัว ที่เคยปรากฎตัวใน Captain Marvel ได้ทำการแฝงตัวบนโลกมนุษย์ และทำการปลอมตัวเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ จนสร้างความวุ่นวายให้โลก

ในส่วนของซีรีส์ฉบับคนแสดง หนังจะเล่าเรื่องราวหลังจากใน Spider-Man: No Way Home ที่ในเอนด์เครดิต ได้มีการเผยว่า สครัลล์นั้นได้ปลอมตัวเป็นนิค ฟิวรี่ (ซามูแอล แจ็คสัน) เพื่อทำภารกิจอะไรบางอย่าง ซึ่งเหตุการณ์ในซีรีส์จะว่าด้วย นิค ฟิวรี่ อดีตหัวหน้าหน่วยชีลด์ ที่กลับมาเผชิญหน้ากับ ทาลอส (เบน เมนเดลสัน) หัวหน้าของพวกสครัลล์ เพื่อร่วมกันทำภารกิจปกป้องโลกครั้งใหม่

ซีรีส์ Secret Invasion จะได้ ไคล์ แบรดสตรีท จากซีรีส์ Mr.Robot มารับหน้าที่สร้างสรรค์ และนอกจากนี้ยังได้ทีมนักแสดงคุณภาพ มาร่วมประเดิมงานกับ MCU ไม่ว่าจะเป็น เอมิเลีย คลาร์ก จากซีรีส์ Game of Thrones และ โอลิเวีย โคลแมน จากซีรีส์ The Crown และยังได้ตัวละครเก่า ๆ กลับมาร่วมสมทบอย่าง ดอน แชเดิล ที่จะกลับมารับบท เจมส์ โรดี้ และ มาร์ติน ฟรีแมน ท่ีกลับมารับบท เจ้าหน้าที่ เอเวอเรต เค รอส

นอกจากตัวอย่างแรกซีรีส์แล้ว ภายในงาน D23 ก็ยังมีการเผยโปรเจกต์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจจาก Marvel ไม่ว่าจะเป็น Thunderbolt หนังรวมทีมวายร้ายเรื่องแรกจาก MCU ที่จะได้ตัวละคร เยเลนา (ฟลอเรนซ์ พิวจ์) จาก Black Widow มารับบทเป็นตัวหลัก ร่วมด้วยตัวละครวายร้ายเก่า ๆ จาก Marvel ไม่ว่าจะเป็น วินเทอร์ โซลเยอร์ (เซบาสเตียน สแตน), จอห์น วอลเกอร์ (ไวแอน รัสเซลล์) เป็นต้น ซึ่งหนังก็มีวางแผนกำหนดฉายในปี 2024

ในส่วนของซีรีส์ นอกจาก Secret Invasion ที่ได้ปล่อยตัวอย่างออกมาแล้ว ภายในงาน D23 ก็ยังมีการปล่อยตัวอย่างแรกจากซีรีส์ Warewolf by Night ซีรีส์แนวแอนติ ฮีโร่ จาก Marvel ที่จะไม่เกี่ยวข้องใด ๆ กับจักรวาล Marvel ที่มีกำหนดฉายเดือนตุลาคม 2022 นี้มาให้ได้ชมอีกด้วย

โดยซีรีส์ Secret Invasion จะมีกำหนดฉายในช่วงต้นปี 2023 นี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The White Lotus season 1: ซีรีส์ที่หยิบเรื่องราวการพักร้อนของคนรวย มาเล่าให้สนุก ตื่นเต้น

อีกหนึ่งผลงาน Limited Series จาก HBO ผลงานการสร้างสรรค์โดย ไมค์ ไวท์ (School of Rock) ที่รวมทีมนักแสดงมากฝีมือเอาไว้แบบคับจอ นำทีมโดย อล็กซานดรา แดดราดิโอ (Percy Jackson), เมอร์เรย์ เบอร์เล็ต (ซีรีส์ The Last of Us), คอนนี่ บริตตัน (ซีรีส์ Dear Edward), เจค เลซี่ (Carol), ซิดนี่ย์​ สวีนี่ (ซีรีส์ Euphoria) และ บริตทานี่ (ซีรีส์​ Consultant)

เรื่องราวของ The White Lotus จะว่าด้วยช่วงเวลา 1 สัปดาห์ของเหล่าผู้ดีมีเงิน ที่ได้เดินทางมาเกาะฮาวาย และเข้าพักที่โรงแรมที่มีชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง แต่ทว่าการพักผ่อนครั้งนี้ กลับไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น เมื่อแต่ละคนที่เดินทางมาล้วนแต่มีปม มีความคิดที่ต่างกัน ซึ่งในระหว่างที่ได้มาพักที่นี่ พวกเขาและเธอต่างก็ได้เรียนรู้ และก้าวผ่านอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของชีวิต พร้อมทั้งมันยังนำมาสู่เหตุการณ์สุดวายป่วงมากมายที่ลงเอยสู่โศกนาฎกรรม

ความน่าสนใจของ The White Lotus คือการเป็นซีรีส์ที่ไม่ได้มีเส้นเรื่องหลักชัดเจน แต่เนื้อหาตลอดทั้ง 6 ตอนของซีรีส์ คือการพาคนดูร่วมเดินทางไปพักร้อนที่ฮาวายร่วมกับตัวละครในเรื่อง โดยที่แต่ละตัวละครต่างมีมิติ มีที่มาที่ไปแตกต่างกันไป จนเมื่อเขาและเธอมาพบกัน จนก่อเกิดเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ที่ค่อยๆ สนุก เข้มข้น และชวนติดตามว่าท้ายที่สุดแล้วทริปพักร้อนครั้งนี้จะสิ้นสุดลงแบบไหน

ตัวซีรีส์มีบท และการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม ด้วยการสามารถสร้างมิติให้ทุกตัวละครได้อย่างน่าจดจำตั้งแต่นาทีแรก โดยเฉพาะการสะท้อนภาพบรรยากาศของคนที่เดินทางมาพักร้อนได้อย่างสมจริง และมีชีวิตชีวา ชวนให้คนดูรู้สึกเหมือนได้มาร่วมเที่ยวกับตัวละครในเรื่องไปด้วย นอกจากนี้หนังยังสามารถผูกโยงเรื่องราวทั้งหมดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างดีเยี่ยม

ในแต่ละตอนซีรีส์ค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก ความน่าติดตาม มากยิ่งขึ้นด้วยเนื้อหาที่ไม่สามารถคาดเดาได้ และพร้อมการสับขาหลอกตลอดเวลา แต่เหนือสิ่งอื่นใด พาร์ทดราม่าของซีรีส์เรื่องนี้ก็นับได้ว่าครบเครื่อง และเต็มไปด้วยสีสั้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดถึงความรักของหนุ่มสาว ความรักของคนมีอายุ ไปจนถึงความสัมพันธ์ของเพื่อน ที่เมื่อดูจนจบ ซีรีส์ได้พาคนดูร่วมเติบโตไปกับตัวละคร นอกจากนี้หนังยังจิกกัดสังคมคนรวย ความเป็นทุนนิยม ออกมาได้อย่างแสบสัน ผ่านความขัดแย้งต่างๆ ที่ได้เห็นในเรื่อง

โดยรวม The White Lotus season 1 เป็นอีกหนึ่ง Limited Series น้ำดีจาก HBO ที่มาพร้อมประสบการณ์การดูซีรีส์ที่เหมือนไปพักร้อนในต้ว ซีรีส์เต็มไปด้วยตัวละครที่มีเสน่ห์ น่าจดจำ และการเล่าเนื้อหาที่เรียบง่ายอย่างการมาเที่ยวทะเล ให้กลายเป็นหนังดราม่าสุดเข้มข้น ตื่นเต้นตลอดทั้ง 6 ตอน

สามารถรับชมซีรีส์ The White Lotus ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิว Barry season 4: บทสรุปของซีรีส์อาชญากรรม ตลกร้าย

ซีซั่นสุดท้ายของอีกหนึ่งซีรีส์อาชญากรรมน้ำดีจาก HBO กับเรื่องราวบทสรุปของมือปืนมากฝีมือ แบร์รี่ เบิร์กแมน (บิล เฮเเดอร์) โดยในครั้งนี้ซีรีส์จะเล่าเหตุการณ์ต่อจากซีซั่นก่อน เมื่อแบร์รี่ ได้ถูก จีน คูซิโน (เฮนรี่ วิงค์เลอร์) ครูสอนการแสดงของเขา หักหลังด้วยการจับเขาส่งตำรวจ จนทำให้เขาต้องเข้าคุก และได้เจอกับ มอนโร (สตีเฟน รูต) อดีตหัวหน้าทีมของเขา หลังจากนั้นก็นำมาสู่เรื่องราวมากมาย ทั้งการล้างแค้น การละทิ้งอดีต ที่ทั้งเข้มข้น ดุเดือด

หลังจากที่ในซีซั่นที่ 3 จะเห็นได้ว่า Barry ได้เปลี่ยนโทนซีรีส์จากคอเมดี้ สู่ความเป็นดราม่าที่หนักหน่วงเต็มตัวมากขึ้น โดยเฉพาะตัวตนอีกด้านของ แบร์รี่ ที่ค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมาจนทำให้เขาถูกตามล่าล้างแค้นจากผู้คนมากมาย ในซีซั่นที่ 4 นี้ยังคงโทนเรื่องแบบดังกล่าวไว้ และเพิ่มระดับความดราม่า ความดาร์ก ที่หนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม

โดยซีซั่นนี้ซีรีส์แทบไม่ปราณีต่อตัวละคร และคนดูตั้งแต่ในตอนแรกที่เต็มไปด้วยฉากเชือดเฉือนอารมณ์ที่มีชั้นเชิง รวมถึงพัฒนาการตัวละครในซีซั่นนี้ ที่แทบไม่มีรอยยิ้ม หรือเสียงหัวเราะให้ได้เห็น แต่ละตอนจะมาพร้อมฉากจบที่ชวนกระอักกระอ่วนใจ และชวนให้อยากคลิกดูตอนต่อไปในทันที

ความสนุกของซีซั่นนี้ คือการที่ซีรีส์เลือกที่จะเล่าโฟกัสไปที่การล้างแค้นของเหล่าตัวละคร ที่พร้อมเข่นฆ่า ก่อสงครามกันตลอดทั้งเรื่อง ส่งผลให้พาร์ทอาชญากรรมในซีซั่นนี้มีความสนุก ดุเดือด เคล้าด้วยฉากแอ็คชั่นที่แม้จะไม่เยอะ แต่ก็สามารถทำออกมาได้มันส์ ระทึกในทุกฉาก ในขณะที่พาร์ทดราม่าในซีซั่นนี้เรียกได้ว่ามีความหนักหน่วง ครบรสกว่าที่ผ่านมา เราจะได้เห็นอีกมุมของแบร์รี่ ที่ไปไกลกว่าซีซั่นก่อนๆ โดยสิ่นเชิง

สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของซีซั่นนี้การที่ซีรีส์สามารถเลือกจุดจบให้กับตัวละคร และเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ ลงตัว เป็นตอนจบที่ทั้งขมขื่น และสวยงาม ในเวลาเดียวกัน ทุกตัวละครต่างมีบทสรุปของตัวเอง และเชื่อว่านี่คือบทสรุปที่แฟนซีรีส์ขุดนี้จะต้องจดจำไม่รู้ลืม

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม บิล เฮเดอร์ ที่นอกจากจะรับหน้าที่เป็นโชว์รันเนอร์แล้ว การส่งท้ายบทแบร์รี่ของเขาในครั้งรี้ก็ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะในซีซั่นนี้ซีรีส์เต็มไปด้วยฉากระเบิดอารมณ์ของ แบร์รี่ ที่สะท้อนภาพพัฒนาการของตัวละครนี้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับตัวละครอื่นๆ ในเรื่อง ที่ต่างมีพัฒนาการบทที่ต่างกันไป

โดยรวม Barry season 4 นับว่าเป็นอีกหนึ่งบทสรุปของซีรีส์น้ำดี ที่สามารถส่งท้ายเรื่องราวได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็น 8 ตอนที่เต็มไปด้วยความสนุก เข้มข้น และความดาร์กแบบขั้นสุด ทั้งในพาร์ทดราม่า หรืออาชญากรรมก็ตาม หากใครที่เป็นคอซีรีส์คุณภาพ ทั้งการเล่าเรื่อง และการแสดง Barry คืออีกหนึ่งเรื่องที่คุณไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ Barry ทั้ง 4 ซีซั่นได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Black Knight: ซีรีส์เกาหลีขายงานโปรดักชั่นฟอร์มยักษ์

ผลงานซีรีส์ฟอร์มยักษ์จากเกาหลีเรื่องล่าสุดที่เข้าฉายใน Netflix ซึ่งครั้งนี้เป็นซีรีส์แนวดิสโทเปียที่ว่าด้วยโลกในปี 2071 เมื่อโลกได้ถูกดาวหางพุ่งชนจนทำให้ทั้งโลกกลายเป็นทะเลทราย อากาศเต็มไปด้วยฝุ่น ผู้คนต้องใส่หน้ากากเพื่อใช้ชีวิตข้างนอก

หนังจะโฟกัสไปที่ประเทศเกาหลี ที่ได้มีการแบ่งสังคมออกเป็นคนที่อยู่ใต้ดิน ที่สามารถใช้ชีวืตอน่างปลอดภัย สุขสบาย และคนที่ลี้ภัย หรือคนที่ไม่มีที่อยู่ ต้องอาศัยการปล้นหน้ากาก และถังออกซิเจน เพื่อเอาชีวิตรอด อาชีพเดียวที่เป็นความหวังของผู้คนคือคนส่งออกซิเจน ที่คอยนำออกซิเจนไปแจกจ่ายให้คนในทั่วทุกเขตอย่างเท่าเทียม

ความน่าสนใจของ Black Knight คือการเป็นหนึ่งในไม่กี่ซีรีส์เกาหลีที่สามารถใช้คำว่า ฟอร์มยักษ์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ตัวซีรีส์มาพร้อมงานโปรดักชั่นที่เทียบเท่าฮอลลีวูด ด้วยการสร้างโลกอนาคตดิสโทเปียที่เต็มไปด้วยทะเลทราย ออกมาได้อย่างสมจริง ราวกับหนัง Blade Runner 2049 หรือ Mad Max: Fury Road โดยซีรีส์ใส่ใจรายละเอียดในแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการจำลองบรรยากาศของโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี และการทำให้คนดูได้เห็นภาพสังคมอนาคต ว่าจะเป็นอย่างไรหากโลกเต็มไปด้วยมลภาวะ

นอกจากการจำลองโลกดิาโทเปียที่ยิ่งใหญ่ สมจริงแล้ว อีกสิ่งที่ซีรีส์ Black Knight สามารถทำออกมาได้ดีมากๆ คือฉากแอ็คชัน ที่ซีรีส์มีมาให้ครบทุกรสชาติ ทั้งฉากยิงกันแบบหูดับตับไหม้ หรือฉากขับรถไล่ล่า และฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่า โดยเฉพาะหากใครที่เป็นแฟนคลับ คิมวูบิน (Our Blues) ในเรื่องนี้จะได้เห็นเขาโชว์ลีลาบู๊ในมาดสุดเท่ ที่พูดน้อยต่อยหนัก และเป็นตัวเอกที่มีความเป็น Anti Hero ที่น่าจดจำมากๆ

ปัญหาของ Black Knight คือด้านบทของซีรีส์ ที่เต็มไปด้วยจุดบอดที่เห็นอย่างชัดเจน ซีรีส์พยายามยัดประเด็นมากมายเข้าไปในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำ ไซไฟ การทดลองมนุษย์ จนทำให้ซีรีส์ไปไม่สุดสักทาง โดยเฉพาะการชูประเด็นเรื่องการเมืองที่ซีรีส์เลือกหยิบมาเล่าแต่ผิวเผิน ทั้งๆ ที่สามารถเล่าได้สุดกว่านี้  รวมทั้งตัวละครในเรื่องที่ขาดมิติ ที่ทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวได้

โดยรวม Black Knight เป็นอีกหนึ่งซีรีส์เกาหลีที่สามารถสะท้อนถึงพัฒนาการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ได้ดีมากๆ ด้วยโปรดักชันที่ดูดี เก็บทุกรายละเอียดของความเป็นหนังวันสิ้นโลก แม้ด้านบทจะเต็มไปด้วยปัญหา แต่หากใครที่ชอบซีรีส์เน้นดูเอามันส์ เอาบันเทิง นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ Black Knight ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: HanCinema

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

From Now Showtime ซีรีส์เกาหลีว่าด้วยมายากลกับความลี้ลับสุดฮา

                ซีรีส์เกาหลีแกะกล่องที่น่าสนใจยังคงเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เนื้อเรื่องค่อนข้างขำมากพอสมควร ไม่มีใครคิดว่ามายากล ผี จะช่วยป้องกันอาชญากรรมได้ โดยซีรีส์เรื่องนี้มีชื่อว่า “From Now, Showtime!” โดยเปิดตัวในปี 2022 มีนักแสดงของเรื่องคือ ปาร์คแฮจิน จินกีจู มาเจอกันในฐานะพระนางของซีรีส์ โดยเริ่มออกอากาศตอนแรก 23 เมษายน ผ่านช่อง MBC ของเกาหลีใต้ หลายๆ คนที่อยากได้แบบเบาสมองพร้อมสืบสวนในตัว ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว

ตัวละครที่น่าสนใจในเรื่อง คือ “ชาชาวุง” เป็นตัวละครที่ได้รับความนิยม ในเรื่องเป็นพระเอก โดยชอบเล่นอะไรที่ท้าทายชีวิต และเป็นนักมายากลทีวีที่มีรสนิยมงดงาม กลอุบาย มายากลที่แสดงของเขาทำให้ผู้ชมตื่นตาตื่นใจ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ เขามีกลุ่มผู้ช่วยลับ! อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ผู้ช่วยของนักมายากลธรรมดา จริงๆ แล้วพวกเขาเป็นผีผู้ช่วย แต่ชาชาวุงไม่กลัวสิ่งมีชีวิตจากโลกของวิญญาณ อันที่จริงเขาปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนเป็นพนักงานของเขา…และพวกเขากลับเชื่อว่าเขาเป็น “เจ้านาย” ของพวกเขา และพวกเขาสมัครใจเป็นผู้ช่วยของพวกเขา

อยู่มาวันหนึ่ง เส้นทางของเขาตัดกับเส้นทางของ “โกซึลแฮ” เจ้าหน้าที่ตำรวจสาวที่หลงใหลและสามารถเห็นผีได้ แต่กลัวความสามารถของเธอ เขาพยายามที่จะปัดเป่าเธอออกไปเมื่อเธอสืบสวนเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงมายากลของเขา แต่ในไม่ช้าเธอก็ตระหนักว่าความสามารถที่ไม่ธรรมดาของนักมายากลอาจเป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบ เธอพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้าร่วมกองกำลังตำรวจในความพยายามที่จะจับอาชญากรที่โหดร้าย และใช้บริวารที่น่ากลัวของเขาเพื่อช่วยสกัดกั้นผู้บงการที่ชั่วร้าย! แต่ในระหว่างการเป็นหุ้นส่วนนอกรีต ความโรแมนติกสามารถปรากฏตัวในที่เกิดเหตุได้หรือไม่? แล้วจะลงเอยยังไงดีสำหรับพระนางคู่นี้

                ด้วยความที่นางเอกค่อนข้างหัวร้อน บวกกับพระเอกที่ลึกลับไปเสียทุกอย่าง การจับกุมเป็นอะไรที่ยาก และเพื่อช่วยชีวิตผู้บริสุทธิ์อีกมากมาย บางทีแค่ใช้วิชาของมนุษย์ปกติเป็นอะไรที่ยากอยู่แล้ว แล้วยิ่งคดีนี้ยากขึ้นไปอีกจนต้องให้ทีมงานของพระเอกช่วยเหลือเพื่อคลี่คลายคดี อย่างไรก็ตาม ทีมงานพระเอกก็ไม่ค่อยเหมือนปุถุชนสักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ ความสนุกน่าจะเต็มพิกัด หากใครสนใจอย่าลืมดูตอนแรกผ่านช่อง MBC ของเกาหลีใต้ได้ทันที หรือใครที่อยากดูผ่านสตรีมสามารถดูได้ที่ Viu เพราะสามารถดูได้และพร้อมออกอากาศอย่างแน่นอน

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รักยิ้มของเธอ ซีรี่ย์รักสดใสในโลกกีฬาออนไลน์จาก WeTV

“ลู่ซือเฉิน พี่เผด็จการจริงๆ” คำที่สาวน้อยถงเหยาพูดด้วยความอัดอั้นตันใจแทบตลอดเรื่อง ในขณะที่อีกฝ่ายมักจะเรียกเธอว่า ยายเตี้ย และมักจะถามถงเหยาว่า “สมองมีรอยหยักหรือเปล่า” เรียกรอยยิ้มจากผู้ชมได้ทุกตอนเพราะว่าภายใต้ท่าทางเย็นชาของลู่ซือเฉินทุกคนสามารถรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่ปกปิดเอาไว้

ซีรี่ส์ รักยิ้มของเธอ (Falling into your smile) เปิดตัวด้วยเรื่องราวของสาวน้อยถงเหยา เกมเมอร์สตรีมมิ่งมีแฟนคลับพอสมควร เธอเริ่มเล่นเกมเพราะแฟนเก่าชื่อ เจี่ยนหยาง ที่ได้กลายเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตระดับประเทศ จนสุดท้ายก็เลิกราเพราะเจี่ยนหยางขาดการติตต่อหายไปจากชีวิต

วันหนึ่งถงเหยาถูกทดสอบในระหว่างการเล่นเกมออนไลน์โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้น ZGDX หนึ่งในทีมอีสปอร์ตชั้นนำส่งเทียบเชิญให้ถงเหยาไปเป็นหนึ่งในทีมแข่ง ถงเหยาลังเลและตัดสินใจเดินทางไปดูการแข่งของ ZGDX กับ CK ที่มีเจี่ยนหยางนำทีม ถงเหยาตัดสินใจได้ว่าจะร่วมทีมกับ ZGDX หลังจบการแข่ง

เจี่ยนหยางพยายามจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเธอ แต่ในตอนนั้นถงเหยาได้จดจ่อที่จะเป็นนักกีฬาอีสปอร์ตหญิงคนแรกของประเทศ แถม ZGDX ยังมี ลู่ซือเฉิน หัวหน้าทีมตัวสูงสุดหล่อขวัญใจสาวๆทั้งประเทศขวางทางอยู่

ลู่ซือเฉินเป็นคนเข้มงวดเย็นชาโดยเฉพาะกับถงเหยา  การติดต่อกับโลกภายนอกนั้นดูจะต้องผ่านการอนุมัติของเขาทุกอย่าง แถมยังเข้ามายุ่งแทบทุกเรื่อง กว่าจะมีใครทันรู้ตัวรวมทั้งถงเหยาด้วย ลู่ซือเฉิน เทพบุตรอีสปอร์ตแผนสูงก็ซึมลึกเข้ามาในหัวใจของถงเหยาเสียแล้ว

พล็อตเรื่องหนุ่มเย็นชาปากร้ายที่เพียบพร้อมทั้งสติปัญญา หน้าตาและฐานะ มาหลงรักผู้หญิงน่ารักแต่เตี้ย-หุ่นไม่ดี-กินเก่ง-ใสซื่อ-ท่าทางเปิ่นๆ พูดจาตรงไปตรงมา เป็นพล็อตฟินเนอเร่สูตรสำเร็จที่ใช้ได้ผลดีแทบทุกครั้ง และครั้งนี้ก็เช่นกัน

แม้ว่าเฉิงเซียวที่รับบท ถงเหยา นอกจากจะสวย ไม่เตี้ย ไม่อ้วน แต่ด้วยวิธีการแสดงของเธอดูแล้วน่าเชื่อมากกับการเป็นผู้หญิงไม่โดดเด่นแต่ดูไปดูมาก็น่ารักจนทำให้คนหล่อๆมากมายมาขายขนมจีบ ในขณะที่การมีสวีข่ายผู้รับบทเป็นลู่ซือเฉินเป็นคนตัวสูงมากและยังหน้าตาดีแบบไม่ต้องตั้งคำถาม ทำให้เฉิงเซียวเหมาะกับการเป็นยายเตี้ยของลู่ซือเฉินจริงๆ

แม้ว่าพล็อตรองของเหล่านางรองพระรองไม่ค่อยโดดเด่นมากนักแต่ก็ไม่สำคัญอะไร เพราะพล็อตหลักดึงดูดคนดูอยู่หมัด

ในด้านงานโปรดักชั่นไม่มีอะไรต้องติเลย การแข่งขันเกมออนไลน์จะดูน่าสนุกสมจริงดีมาก แต่ที่น่าสนใจคือสาระที่สอดแทรกระหว่างบรรทัดเกี่ยวกับอีสปอร์ตที่เรื่องนี้ได้เปิดเผยเรื่องราวของนักกีฬาชนิดนี้ในมุมมองที่คนทั่วไปอาจจะไม่รู้จัก

แต่แน่นอนว่าคนที่ไม่รู้จักหรือไม่ได้เข้าใจอะไรเลยกับกีฬาอีสปอร์ตอาจจะกลัวๆว่าจะดูไม่รู้เรื่อง แต่ว่าการไม่รู้อะไรเลยก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรในการดู แนะนำว่าทำใจร่มๆดูฉากการต่อสู้ไปแบบผ่านๆ ค่อยๆเรียนรู้ไปกับเรื่องราวก็ได้ ไม่ต้องซีเรียส เพราะว่าอันที่จริงทุกคนก็รอลุ้นเด็กใหม่เปิ่นๆกับบอสสุดโหดว่าจะลงเอยกันอย่างไรได้มากกว่า..จริงมั้ย

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Nine Perfect Strangers: ซีรีส์ดราม่าที่นำเสนอปัญหาเรื่องปัญหาทางจิตของปัจเจกบุคคลพีค และช่วงท้ายที่ยอดเยี่ยม

อีกหนึ่งผลงานซีรีส์ดราม่า จาก Prime Videos ผลงานการสร้างสรรค์โดย เดวิด อี เคลลี่ (ซีรีส์ Big Little Lies) และ จอห์น-เฮนรี่ บัตเตอร์วอร์ธ (Ford V Ferrari) ที่เป็นงานรวมดาราดังมาไว้แบบคับจอมากที่สุด นำทีมโดย นิโคล คิดแมน (Aquaman), ลุ้ค อีแวนส์ (Dracula Untold), เมลิสซ่า แมคคาร์ธนีย์ (The Little Mermaid), ไมเคิล แชนนอน (Man of Steel), บ้อบบี้ คาร์นาเวล (Ant-Man) และ ชามาล่า วีฟวิง (Ready or Not)

เรื่องราวของ Nine Perfect Strangers จะว่าด้วยกลุ่มคนแปลกหน้า 9 คน ที่ได้เดินทางมายังบ้านพักอันห่างไกลของ มาช่า (นิโคล คิดแมน) เพื่อร่วมกันมาทำการบำบัดจิตใจ ด้วยวิธิการทำสมาธิในรูปแบบต่างๆ แต่ทว่าเมื่อดำเนินการบำบัดไปเรื่อยๆ พวกเขาและเธอก็พบว่ามีความไม่ชอบมาพากลบางอย่างของตัวมาช่า และวิธีการบำบัด จนนำมาสู่เหตุการณ์ชวนระทึกมากมาย

Nine Perfect Strangers เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เล่นกับบรรยากาศ และความระทึกในสถานที่ปิดตาย ห่างไกลจากโลกภายนอก ที่รวบรวมเหล่าผู้คนที่ไม่ปกติมาไว้ด้วยกัน กลิ่นอายจะชวนให้นึกถึงซีรีส์ White Lotus เพียงแต่ในเรื่องนี้ซีรีส์จะไม่ได้โฟกัสที่การพยายามผูกโยงเรื่องราว หรือเล่นกับความระทึกขวัญมากนัก แต่ซีรีส์จะหนักดราม่า โดยสำรวจมิติ และความเป็นมาของแต่ละตัวละคร

ความสนุกของซีรีส์คือการผสมผสานความดราม่า และความลึกลับ ระทึกขวัญ ได้อย่างลงตัว ผู้ชมจะได้เห็นปมของแต่ละตัวละคร ร่วมบำบัด และก้าวผ่านปัญหาชีวิตไปกับพวกเขาและเธอ ในขณะเดียวกันผู้ชมก็รับบทเป็นนักสืบ ที่ต้องไขความจริงของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเหตุการณ์ในแต่ละตอนก็ค่อยๆ ทวีความสนุก ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น

ด้านทีมนักแสดงนำ เรียกได้ว่าปล่อยของมาได้อย่างจัดเต็มทุกคน ไม่ว่าจะเป็น นิโคล คิดแมน ที่มาพร้อมบทสุดลึกลับ และเต็มไปด้วยปมในอดีตที่น่าค้นหา รวมถึง ไมเคิล แชนนอน ก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่เต็มไปด้วยพาร์ทดราม่า และคอเมดี้ ที่ยอดเยี่ยม แต่ที่ต้องชื่นชมคือบทของ เรจินา ฮอล (Scary Movies) ที่ครั้งนี้เธอสลัดบทตลก สู่บทดราม่าของคนที่มีปัญหาทางจิต ที่เธอถ่ายทอดออกมาได้อย่างถึงอารมณ์มากๆ

ในส่วนของข้อด้อยของซีรีส์ชุดนี้ คือการที่ซีรีส์มีความยาวเกินไปของเนื้อหาที่นำเสนอ เนื่องจากทั้ง 8 ตอนของซีรีส์ มีช่วงที่เนิบช้า น่าเบื่อ และเนื้อหาวนอยู่กับที่ในบ่อยครั้ง นอกจากนี้ประเด็นของซีรีส์ที่น่าจะสามารถหยิบประเด็นต่างๆ มาเล่าให้พีคได้มากกว่านี้ แต่ซีรีส์กลับค่อนข้างเพลย์เซฟ จนทำให้หลายๆ ช่วงดูดรอปลงไปอย่างน่าเสียดาย

โดยภาพรวม Nine Perfect Strangers เป็นซีรีส์ขายดราม่า ปนระทึกขวัญ ที่เล่าได้ชวนติดตาม ซีรีส์เล่นกับประเด็นจิตวิทยาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะพลังของนักแสดง ที่ปล่อยของกันแบบไม่มีกั้ก แม้ว่าจะมีช่วงที่น่าเบื่อไปบ้าง แต่ก็เป็น Limited Series แนวดราม่าที่หลายคนน่าจะชื่นชอบไม่น้อย

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
manga

รีวิว มังงะ This Lonely Planet ขยับหัวใจเข้าใกล้นายมาดเข้ม

สำหรับใครที่ชื่นชอบการอ่านเรื่องราวการ์ตูน มังงะ แนวรักโรแมนติก วันนี้เราก็ไม่พลาดที่จะคัดสรร มังงะ ดีๆ มานำเสนอให้อ่านกันอีกเช่นเคย ซึ่งเป็นการ์ตูนรักแนวใสๆ แต่มีความร้ายแอบซ่อนรักชวนให้น่าติดตามมากๆ โดยมีชื่อเรื่องว่า This Lonely Planet ขยับหัวใจเข้าใกล้นายมาดเข้ม ดูจากชื่อเรื่องแล้วคงจะแซ่บไม่เบาเลยทีเดียว เอาล่ะตอนนี้ก็ได้เวลามาทำความรู้จักเจ้า มังงะ แสนสนุกเรื่องนี้กันแล้ว ใครอยากรู้ว่าจะสนุกแค่ไหนก็ตามมาอ่านไปพร้อมกันเลย

การ์ตูน มังงะ This Lonely Planet ขยับหัวใจเข้าใกล้นายมาดเข้ม เป็นแนวเกี่ยวกับอะไร?

• โดยเรื่องราวหลักๆ จะเป็นแนวรักโรแมนติกหวานซึ้งตรึงใจ

• มีความดราม่าผสมผสานทำให้มีอ่านแล้วอินเข้าถึงอารมณ์ตัวละครแบบสุดๆ

• มีความตลกร้ายที่มีทั้งความฮาและตลกซ่อนร้ายจากบทบาทตัวละคร

• เนื้อหาจะเน้นอารมณ์เรื่องราวชีวิตของเด็กมอปลายที่บ้านมีหนี้สินกองโต

เรื่องย่อการ์ตูน มังงะ

เรื่องราวของการ์ตูน มังงะ โรแมนติกดราม่า เรื่องนี้ มีตัวละครหลักด้วยกันดังนี้

• โอโนะ ฟุมิ สาวน้อยนักเรียนมอปลายปี 2

• คิบิคิโนะ อาคาซึกิ หนุ่มนักเขียนนิยายที่มีหน้าดุและมนุษย์สัมพันธ์แย่สุดๆ

โดยเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสองได้เริ่มต้นจาก โอโนะ ฟุมิ สาวน้อยมอปลายปี 2 ที่อยู่มาวันหนึ่งโชคชะตาได้เล่นตลกกับชีวิตของเธอให้เธอต้องมาใช้ชีวิตเป็นแม่บ้านประจำในบ้านหลังหนึ่ง เพื่อทำงานหาเงินมาชดใช้คืนหนี้ก้อนโตที่พ่อของเธอเป็นคนสร้าง แถมเธอยังต้องมาเจอกับเจ้าของบ้านสุดโหดผู้เป็นนักเขียนนิยายชื่อดังแต่กลับมีหน้าตาน่ากลัวและอัธยาศัยแย่สุดๆ

แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีท่าทีที่ดูเย็นชากับเธอสักแค่ไหนแต่เธอกลับมองเห็นในมุมอ่อนโยนและแสนใจดีของเขาอยู่ดี จากนั้นความสัมพันธ์ของเธอและเขาจึงเริ่มต้นขึ้นที่บ้านหลังนั้น จะโรแมนติกหวานซึ้งไปจนถึงดราม่าเศร้าเคล้าน้ำตาขนาดไหนก็สามารถติดตามอ่านต่อได้ในการ์ตูน มังงะ This Lonely Planet ขยับหัวใจเข้าใกล้นายมาดเข้ม เรื่องนี้กันเลยจ้า

สรุปความน่าสนใจของการ์ตูน มังงะ เรื่องนี้

การ์ตูน มังงะโรแมนติกดราม่า เรื่องนี้ เป็นผลงานการแต่งและวาดภาพประกอบของอาจารย์ Mika Yamamori โดยเรื่องนี้มีทั้งหมด 14 เล่มจบ และได้เริ่มเขียนเมื่อปี 2015 สำหรับความน่าสนใจของการ์ตูน มังงะ This Lonely Planet ขยับหัวใจเข้าใกล้นายมาดเข้ม เรื่องนี้คือ เราจะได้สัมผัสถึงความอ่อนโยนและความน่ารักของตัวละครที่ถึงแม้จะมีบทบาทตรงข้ามกับลุค แต่ในเรื่องของความรักโรแมนติกต่างวัยนั้นน่ารักสุดๆ ซึ่งค่อยๆ เติบโตไปพร้อมๆ กับตัวละครทำให้โดยรวมแล้วเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สนุกและน่าติดตามมากๆ เพาะฉะนั้นห้ามพลาดเลย

รูปภาพประกอบ : chellesbookramblings.wordpress.com

รูปภาพประกอบ : aminoapps.com

รูปภาพประกอบ : myanimelist.net