Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Consultant ซีรีส์จิตวิทยา ระทึกขวัญ

The Consultant เป็นซีรีส์ดราม่า ระทึกขวัญ จาก Prime Video ผลงานการสร้างสรรค์โดย โทนี่ บาสกัลลอป (ซีรีส์ The Servant) ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ เบนท์ลีย์ ลิตเติล พร้อมได้ทีมนักแสดงมากฝีมือ นำทีมโดย คริสตอฟ วอลท์ (No Time To Die), แนตต์ วูล์ฟ (The Kill Team), บริตธานี่ โอ เกรย์ดี้ (ซีรีส์ The White Lotus) และ เอมี่ คาร์เรอโร (The Menu)

ซีรีส์จะว่าด้วยเรื่องราวของบริษัทเกมชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ดูแลโดยเด็กหนุ่มชาวเกาหลีอัจฉริยะ จนกระทั่งทุกอย่างในบริษัทก็เปลี่ยนไป เมื่อเจ้าของบริษัทชาวเกาหลีได้ถูกเด็กประถมยิงตายในออฟฟิศ หลังจากนั้นบริษัทนี้ก็ถูกชายปริศนานาม รีจัส พาทอฟ (คริสตอฟ วอลท์) ที่อ้างว่าตนเป็นผู้ช่วยให้คำปรึกษาบริษัท มาดูแลกิจการทั้งหมด ราวกับเป็นเจ้าของคนใหม่ พร้อมทั้งยังทำพฤติกรรมแปลกๆ ในเชิงเผด็จการมากมาย จนทำให้ เคลก (แนตต์ วูลฟ์) และ เอเลน (บริตธานี่ โอ เกรย์ดี้) สองพนักงานที่รู้สึกไม่ไว้วางใจ พาทอฟ ก็ได้ร่วมกันหาความจริงของชายปริศนาผู้นี้

ตัวซีรีส์มาพร้อมการเล่าเรื่องแบบซีรีส์ระทึกขวัญ ที่มีจุดขายคือตัวละครพาทอฟ ที่มีความลึกลับ น่ากลัว และทรงพลัง ชวนให้คนดูอยากติดตามซีรีส์ต่อว่าเรื่องราวของซีรีส์จะไปในทิศทางไหน และอำนาจของเขาจะมีผลอย่างไรต่อเนื้อเรื่องอย่างไรบ้าง ซึ่งซีรีส์ก็สามารถดำเนินเรื่องได้สนุก เข้มข้น ในตลอดทั้ง 8 ตอน

ตัวซีรีส์ไม่ได้มีแค่จุดขายที่ตัวละคร พาทอฟ เท่านั้น แต่ยังมีการเล่นกับสองตัวละครสำคัญอย่าง เคลก และเอเลน ที่ต่างมีมิติที่น่าสนใจ ทั้งความสัมพันธ์ที่เหมือนจะเป็นมากกว่าเพื่อนร่วมงาน และจุดหมายในการทำงานของทั้งคู่ ที่ซีรีส์ได้สะท้อนภาพของพนักงานออฟฟิศธรรมดา ในตัวละครทั้งสองไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งสองตัวละครนี้ยังทำหน้าที่เป็นนักสืบแทนคนดู ในการหาความจริงต่างๆ ที่เพิ่มอรรถรสให้ซีรีส์มากยิ่งขึ้น

ในแง่ของความลึกลับ ระทึกขวัญ The Consultant อาจไม่ได้มีฉากโหดๆ หรือชวนลุ้นมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นสงครามจิตวิทยาระหว่างตัวละคร ที่ค่อยๆ ไต่ระดับความดึงเครียด ความกดดันขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากใครที่หวังดูหนังแนวจิตๆ ขั้นสุดอาจผิดหวังไปบ้าง แต่หากใครชอบแนวดราม่า เนื้อหาหนักๆ อาจชื่นชอบไม่น้อย

ทั้งนี้ขอชื่นชมการแสดงของ คริสตอฟ วอลท์ ที่ยังคงเล่นบทวายร้ายโรคจิตได้อย่างน่าขนลุก ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่ชวนอึดอัด และการสร้างความลึกลับ ทรงพลังผ่านการแสดงที่น้อย แต่มาก ซึ่งเป็นหนึ่งในการแสดงที่แบกซีรีส์เรื่องนี้ไว้ ควบคู่กับ แนตต์ วูลฟ์ และ บริตธานี่ โอ เกรย์ดี้ ที่เป็นอีกสองคาแรคเตอร์ที่สร้างความน่าติดตาม ด้วยเคมีของทั้งสอง ที่มีทั้งโรแมนติก และดราม่า ที่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ไม่น้อย

โดยรวม The Consultant เป็นอีกซีรีส์ระทึกขวัญ ที่ทำออกมาได้ชวนติดตาม ซีรีส์นำเสนอความเป็นเผด็จการในออฟฟิศออกมาได้อย่างดีเยี่ยม เป็น 8 ตอน ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่สนุกแบบกระชับ เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าค้นหา เคล้าด้วยดราม่าชั้นดี นับว่าเป็นอีกเรื่องที่คอซีรีส์คุณภาพไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ The Consultant ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Atlanta season 1

ผลงานซีรีส์แนวดราม่า ตลกร้าย จากการสร้างสรรค์ และร่วมแสดงนำของ โดนัลด์ โกลเวอร์ (ซีรีส์ Comunity) ที่ได้ทีมนักแสดงนำผิวสีมากฝีมือมาร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น ไบรอัน ไทรี เฮนรี่ (Bullet Train), ลาคีธ สตีนฟิลด์ (Knives Out) และ ซาซี่ บีตซ์ (Deadpool 2)

เรื่องราวของ Atlanta จะว่าด้วย เอิร์นเนส (โดนัลด์ โกลเวอร์) ชายหนุ่มที่ชีวิตกำลังตกอับ เพราะต้องทำงานที่ไม่ชอบ แถมยังมีภาระมากมายที่ต้องรับผิดชอบ จนกระทั่งวันหนึ่ง เอิร์น ได้พบว่า อัลเฟร็ด (ไบรอัน ไทลี เฮนรี) ลูกพี่ลูกน้องของเขาได้เป็นแร้ปเปอร์ที่มีชื่อในโลกอินเตอร์เน็ต ทำให้ เอิร์น ตัดสินใจอาสารับหน้าที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว แต่การกลับมาเจอกันของพวกเขาครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยเรื่องเกรียน ๆ สุดวายป่วง

ตัวซีรีส์มาพร้อมความยาวต่อตอนเพียง 25 นาทีเท่านั้น โดยแต่ละตอนของซีรีส์จะว่าด้วยแต่ละเหตุการณ์ที่ตัวละครเผชิญ ตั้งแต่เรื่องราวเล็ก ๆ ไปจนถึงเรื่องราวสุดวายป่วงใหญ่โต ความสนุกของซีรีส์เป็นการพาคนดูไปสำรวจวิถีชีวิตของตัวละคร และความสัมพันธ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ในขณะเดียวกันเนื้อเรื่องในแต่ละตอนก็เล่าได้กระชับ ไม่น่าเบื่อ

มุกตลกของ Atlanta เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของเรื่องก็ว่าได้ เพราะตลอดทั้งเรื่องซีรีส์ได้อัดแน่นไปด้วยหลากมุกตลกที่ชวนขำ ตั้งแต่มุกตลกหน้าตาย มุกตลกล้อเลียน ไปจนถึงมุกตลกที่แซะ จิกกัดประเด็นสังคม ตั้งแต่การเหยียดเพศ เหยียดผิว ซึ่งแต่ละมุกตลกต่างถูกจับวางในจังหวะที่เหมาะสม ลงตัว จนทำให้นอกจากจะตลกแล้ว ยังช่วยให้เนื้อเรื่องเดินหน้าอย่างชวนติดตาม

ในด้านพาร์ทดราม่า ซีรีส์ก็ทำออกมาได้ดี โดยซีรีส์ได้นำเสนอมิตรภาพ ความรัก ความสัมพันธ์รูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าหนังจะไม่ได้มีฉากอารมณ์หนักหน่วงมาก แต่บทสนทนา และการถ่ายทอดอารมณ์ของทีมนักแสดงก็สามารถทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีดีมากกว่าแค่การเป็นซีรีส์ตลก

ด้านการแสดงต้องขอชื่อชมทีมนักแสดงนำในเรื่องทุกคนที่ถ่ายทอดบทได้ถึงอารมณ์ ทุกคนต่างมีเคมีที่เข้ากัน ด้าน โดนัลด์ โกลเวอร์ รับบทพระเอกของเรื่องที่มีเสน่ห์ เปี่ยมไปด้วยความเป็น Loser ที่ชวนให้คนดูอยากเอาใจช่วยไปจนจบ ด้าน ไบรอัน ไทรี เฮนรี และลาคีธ สตีนฟิลด์ ก็ถ่ายทอดฉากตลกหน้าตาย ออกมาได้ชวนขำในหลาย ๆ ฉาก เมื่อทั้งสามมารวมตัวกันมักจะเกิดเป็นความบันเทิงที่ตรึงคนดูได้อยู่หมัด

โดยรวม Atlanta season 1 เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ดราม่า คอเมดี้ ที่เปิดซีซั่นได้อย่างน่าติดตาม ตัวซีรีส์เต็มไปด้วยความตลกที่มีความเป็นธรรมชาติ สามารถสร้างตัวละครหลักให้เป็นแก๊งขี้แพ้ที่น่าติดตาม น่าเอาใจช่วย พร้อมทั้งยังปูเรื่องราวไปสู่ซีซั่นต่อ ๆ ไปได้อย่างดีเยี่ยม

สามารถรับชมซีรีส์ Atlanta season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+​ Hotstar

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิว Murderville ซีรีส์สืบสวน

เชื่อว่าหลายคนคงมีภาพจำของซีรีส์สืบสวนว่าเป็นซีรีส์แนว ฟิล์มนัวร์ อาชญากรรม เนื้อหาที่ชวนเครียด หดหู่ แต่สำหรับ Murderville ซีรีส์เรื่องใหม่จาก Netflix หาได้เป็นแบบนั้นไม่ เพราะนี่คือซีรีส์สไตล์ซิตคอม ผสมเกมโชว์ ที่ใช้ซีรีส์สืบสวนเป็นแรงบันดาลใจ

ตัวซีรีส์จะว่าด้วย เทอร์รี่ (วิล อาร์เน็ต) หัวหน้าทีมสืบสวนสุดเปิ่น จอมโวยวาย ที่ได้มองหาเจ้าหน้าที่มาร่วมภารกิจสืบสวนกับเขา โดยซีรีส์จะมีทั้งหมด 6 Ep. และแต่ใน Ep. จะมีแขกรับเชิญที่ต้องมาช่วยเทอร์รี่ไขคดีแบบไม่ซ้ำหน้า ไม่ว่าจะเป็น โคแนน โอ ไบรอัน (The Mitchells vs. The Matchines), มาร์เชล ลินซ์ (ซีรีส์ Westworld), แอนนี่ เมอร์ฟี่ (ซีรีส์ Schitt’s Creek), ชารอน สโตน (Basic Instinct), คุมาล นานจิเอนิ (Eternals) และ เคน จอง (The Hangover) ซึ่งแขกรับเชิญแต่ละคนนั้นจะมารับบทเป็นตัวเอง และทุกคนจะไม่ได้อ่านบทล่วงหน้ามาก่อน ทำให้แขกรับเชิญเหล่านีตัองด้นบทสด ๆ และคาดเดาตัวคนร้ายจากการสังเกตของตัวเอง

ความน่าสนใจของ Murderville คือการที่ซีรีส์ได้ใช้คุณสมบัติของซีรีส์สืบสวน มาผสมผสานใส่มุกซิตคอม และใช้ล๔กเล่นแบบรายการเกมโชว์เข้าไปได้อย่างลงตัว ตัวซีรีส์อัดแน่นไปด้วยมุกตลกเกรียน ๆ โดยเฉพาะตัว วิล อาร์เน็ต ที่เต็มไปด้วยมุกแพรวพราวที่พร้อมปั่นประสาทคนดู และแขกรับเชิญ นอกจากนี้เหล่าตัวละครสมทบในเรื่องต่างก็มีความแปลก ความเกรียน ที่ได้ร่วมสร้างสีสันให้ซีรีส์ไม่น้อย

หนึ่งในส่วนที่ชอบมาก ๆ ของ Murderville คือการที่ซีรีส์ไม่ได้ให้แขกรับเชิญรู้บทของตัวเอง ความสนุกของมันคือการด้นสดที่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการยิงมุกของ วิล อาร์เน็ต ที่แขกรับเชิญไม่ทันตั้งตัว รีแอคที่ได้มันเลยเป็นโมเมนต์ที่น่ารัก ประทับใจ และชวนขำทุกครั้ง นอกจากนี้ การที่ซีรีส์ให้แขกรับเชิญคือคนที่ต้องชี้ตัวคนร้ายเอง ทำให้มันได้สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู คือให้คนดูและแขกรับเชิญ ต้องรับบทนักสืบ ที่ต้องช่างสังเกตในทุกเบาะแสที่ซีรีส์ใบ้ มันเลยทำให้การเดาตัวคนร้าย และสังเกตสิ่งต่าง ๆ คือความบันเทิงที่หาไม่ได้จากซีรีส์สืบสวนเรื่องอื่น ๆ

ถึงกระนั้น Murderville ก็ยังคงมีข้อด้อยบางส่วน ที่ทำให้เสน่ห์ความเป็นหนัง หรือซีรีส์สืบสวนลดลง เนื่องจากเงื่อนไขของความเป็นเกมโชว์ของมัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอที่ไม่สมจริง ไม่ธรรมชาติ ความซ้ำซากจำเจในการเล่นมุกตลกเดิม ๆ ที่บางครั้งมันกลับชวนน่าเบื่อไปบ้าง

โดยรวม Murderville เป็นอีกคอนเทนต์ที่คอซีรีส์สืบสวนน่าจะถูกใจไม่น้อย ด้วยความที่ซีรีส์ได้พาคนดู และแขกรับเชิญ ได้ร่วมเป็นนักสืบมือสมัครเล่น ซึ่งแต่ละคดีก็ท้าทายไวพริบไม่น้อย ประกอบกับมุกตลกที่ชวนขำทุกตอน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การรับชมกับครอบครัวหรือแก๊งเพื่อนในยามพักผ่อน

สามารถรับชม Murderville ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Gannibal ซีรีส์ระทึกขวัญ สืบสวน

Gannibal เป็นผลงานซีรีส์ Original Disney+ Hotstar จากประเทศญี่ปุ่น ที่ดัดแปลงมาจากมังงะงานเขียนโดย มาซากิ นิโนมิยะ โดยจะว่าด้วยเรื่องราวของ ไดโกะ อากาวะ (ยูยะ อากิระ) นายตำรวจที่เข้ามารับตำแหน่งในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งเขาได้ย้ายมาพร้อมกับครอบครัว ที่ประกอบไปด้วยภรรยา และลูกสาว

แต่หลังจากที่ย้ายมารับตำแหน่งได้ไม่นาน ไดโกะ ก็ได้พบกับคดีการหายตัวไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนก่อนหน้า รวมทั้งเขายังได้พบว่าในหมู่บ้านนี้ได้มีครอยครัวมากอิทธิพลอย่างครอบครัวโกโต ที่มีข่าวลือว่าเป็นครอบครัวที่กินคน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไดโกะ เลยต้องลงมือสืบคดีนี้ แต่เมื่อยิ่งสืบไปเรื่อยๆ เขาก็พบกับอันตราย และเรื่องดำมึดมากมายที่หมู่บ้านนี้ซ่อนอยู่

Gannibal มาพร้อมการดำเนินเรื่องแบบซีรีส์สืบสวน ระทึกขวัญ โดยจะเน้นการเล่าเรื่องที่มีความสมจริง มีกลิ่นอายของความเป็นฟิล์มนัวร์ ที่ตัวละครจะไม่มีใครเป็นตัวดี หรือตัวร้าย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ความน่าสนใจของซีรีส์คือการสร้างบรรยากาศความลึกลับ น่ากลัว ของหมู่บ้านออกมาได้อย่างชวนติดตาม ชวนให้ค้นหาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ในแง่ของการสืบสวน ความระทึกขวัญ ซีรีส์ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ซีรีส์นำเสนอเหตุการณ์ผ่านมุมมองของตัวละครไดโกะ ที่เป็นคนหาความจริงได้สนุก เข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นการตามล่าหาความจริงแบบไม่หวั่นกลัว รวมทั้งฉากแอ็คชั่นที่สอดแทรกระหว่างเรื่องที่มาพร้อมคิวบู๊สุดเดือด ทำให้ตลอด 7 ตอนของซีรีส์เรื่องนี้แทบไม่มีฉากน่าเบื่อให้ง่วงเหงาหาวนอน

ด้านงานโปรดักชั่นของซีรีส์ ก็เป็นอีกหนึ่งจุดขายของซีรีส์ เพราะใน Gannibal ตัวซีรีส์มีฉากน่ากลัว ฉากสยดสยอง ที่ทำได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะการออกแบบฉากกลางคืน ฉากพิธีกรรมต่างๆ ที่เพิ่มอรรถรสความสยองขวัญได้อย่างดีเยี่ยม

ในส่วนของข้อด้อยของซีรีส์ คือการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างกระชับเกินไป ทั้งๆ ที่เนื้อหาของซีรีส์มีดีเทลล์ ที่สามารถเล่าได้มากกว่านี้ แต่ด้วยจำนวนตอนที่น้อยนิด ทำให้ซีรีส์ไม่สามารถโฟกัสทุกแง่มุม ทุกตัวละครได้อย่างเต็มที่ จนทำให้บางตัวละครขาดมิติ ขาดความน่าจดจำไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Gannibal เป็นอีกซีรีส์ม้ามืดจากญี่ปุ่น ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพทั้งความโหด ความสยองขวัญ เนื้อหาการสืบสวนที่ชวนติดตาม ตลอด 7 ตอนของซีรีส์เต็มไปด้วยเนื้อหาที่ตื่นเต้น คาดเดาไม่ได้ และไต่ระดับความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แบบที่คอหนังระทึกขวัญไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

สามารถรับชมซีรีส์ Gannibal ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Connect ซีรีส์สืบสวน

ผลงานซีรีส์เกาหลีแนวสืบสวน ผสมแฟนตาซี ที่เป็นงาน Original ของ Disney+ ที่รับหน้าที่กำกับโดยมือสร้างหนังสายโหดสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง ทาเคชิ มิอิเกะ (Ichi the Killer) พร้อมได้ทีมนักแสดงเกาหลีมากฝีมือ นำทีมโดย จุงแฮอิน (ซีรีส์ Start-Up), โกคยุงเพียว (ซีรีส์ 1988) และ คิมแฮจุน (ซีรีส์ Kingdom)

Connect จะว่าด้วยเรื่องราวของ ฮาดองซู (จุงแฮอิน) ชายหนุ่มที่ต้องใช้ชีวิตแปลกแยกจากสังคม เนื่องจากเขานั้นคือ ‘คอนเนค’ หรือบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่ร่างกายจะเป็นอมตะ สามารถฟื้นฟูตัวเองได้ ไม่ว่าจะบาดเจ็บรุนแรงแค่ไหน จนกระทั่งวันหนึ่ง ดองซู ได้ถูกกลุ่มนักค้าอวัยวะจับตัวไป แต่ด้วยความสามารถพิเศษของเขาทำให้ ดองซูรอดชีวิตมาได้ แต่ดวงตาข้างหนึ่งของเขาได้ถูกปลูกถ่ายไปให้กับฆาตกรต่อเนื่อง ทำให้ ดองซู มีความสามารถในการมองเห็นเชื่อมต่อดวงตากับฆาตกร ดองซูเลยต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตามล่าฆาตกรผู้นี้ และทวงคืนดวงตาของเขากลับมาอีกครั้ง

นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์เกาหลี ที่ยังสามารถหยิบความเป็นแนวสืบสวนสอบสวน อาชญากรรม มานำเสนอได้อย่างน่าสนใจ พร้อมทั้งในเรื่องนี้ยังได้ใส่ความเป็นแฟนตาซีเข้าไปเป็นลูกเล่นของซีรีส์ ที่ทำให้เนื้อหาเต็มไปด้วยลูกเล่นที่ชวนติดตาม และมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร ซีรีส์มีการเล่นกับฉากโหด ๆ อย่างการผ่าอวัยวะ ฉากการฆ่าที่สยดสยอง โดดเด่นกว่าเรื่องอื่น ๆ โดยเฉพาะ CGI ฉากการเชื่อมร่างกายของ Connect ที่มีความน่าขนลุกขนพอง รวมถึงศพในเรื่องที่มีการออกแบบมาให้ทั้งสวยงาม และน่าสยดสยองในเวลาเดียวกัน ชวนให้นึกถึงการดีไซน์ศพในซีรีส์ Hannibal ไม่น้อย

โดยผู้ชมจะได้พบกับการตามล่า การประชันไหวพริบ ระหว่างชายที่เป็นอมตะ และฆาตกรต่อเนื่อง ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยเหตุการณ์ชวนลุ้น ชวนให้เอาใจช่วยแล้ว ยังจะได้สนุกไปกับการสืบสวนสอบสวน  การตามล่าหาความจริงที่เข้มข้นตลอดทั้ง 6 ตอนของซีรีส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างคาแรคเตอร์ของฆาตกรต่อเนื่องในเรื่องนี้ ซึ่งมีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น ทั้งความโหดร้าย เลือดเย็น และมีความฉลาด ไหวพริบที่เหนือกว่าคนทั่วไป ที่ทำให้คนดูรู้สึกยำเกรง และหวาดกลัวตัวละครนี้ได้ไม่น้อย

นอกจากการสืบสวน ระทึกขวัญที่ทำออกมาได้สนุกแล้ว อีกหนึ่งจุดขายของ Connect คือการหยิบประเด็นเรื่องความแปลกแยกของคน มานำเสนอได้ค่อนข้างดี โดยซีรีส์เลือกหยิบตัวละคร ฮาดองซู เป็นเสมือนคนที่ถูกสังคมมองว่าเป็นตัวประหลาด จนถูกสังคมตัดสิน แบบไม่ยุติธรรม จนทำให้ต้องกลายเป็นคนที่โดดเดี่ยว ซึ่งประเด็นนี้ทำให้พาร์ทดราม่าของหนังทำออกมาได้ทรงพลัง และสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู และตัวฮาดองซูได้เป็นอย่างดี

ในส่วนของข้อเสียของซีรีส์ Connect คือการที่ซีรีส์เล่าเรื่องแบบกระชับจนเกินไป ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ของซีรีส์เลือกโฟกัสไปที่การต่อสู้ของ ฮาดองซู และตัวฆาตกร จนลืมใส่ใจพาร์ทที่ควรจะเป็นการสืบสวนสอบสวน จนทำให้ความสมจริงในด้านนี้ของซีรีส์ดรอปลงอย่างเห็นได้ชัด และทำให้บทหนังบางส่วนดูไม่สมเหตุสมผลไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวมซีรีส์ Connect ก็นับว่าเป็นอีกซีรีส์สืบสวนจากเกาหลี ที่มีเนื้อหาเข้มข้น ที่น่าจะถูกใจคอหนัง หรือซีรีส์แนวนี้ไม่น้อย แม้การสืบสวนจะไม่ได้สมจริง หรือดีงามเหมือนเรื่องอื่น ๆ แต่ด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้สามารถมอบความบันเทิงแบบอัดแน่นตลอดทั้ง 6 ตอนได้อย่างดีเยี่ยม

สามารถรับชมซีรีส์ Connect ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: HanCinema

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Tokyo Vice ซีรีส์อาชญากรรมเนื้อหาเข้มข้น

Tokyo Vice เป็นผลงานซีรีส์ร่วมทุนสร้างระหว่างอเมริกา และญี่ปุ่น โดย HBO Max ซึ่งเป็นงานที่ดัดแปลงมาจากชีวิตการทำข่าวของ เจค อเดลสตีน นักข่าวอาชญากรรม สัญชาติอเมริกันที่ได้ไปทำงานในสำนักข่าวญี่ปุ่น ตัวซีรีส์ได้ผู้กำกับสายอาชญากรรมอย่าง ไมเคิล มานน์ (Heat) มาร่วมกำกับในบาง Ep. และร่วมอำนวยการสร้าง

ซีรีส์จะพาเราย้อนไปยังญี่ปุ่นช่วงยุค 90 ที่เป็นช่วงที่ เจค (ในเรื่องรับบทโดย เอนเซล แอลกอท) กำลังสอบเข้าเป็นนักข่าว จนกระทั่งเขาได้รับโอกาสเข้าทำงานในบริษัทหนังสือพิมพ์ชื่อดัง เจค ได้เริ่มไต่เต้า และทำงานในสายข่าว จนกระทั่งเขาได้ทำข่าวอาชญากรรม ที่มันเป็นเรื่องที่โยงไปยังสงครามของสองแก๊งยากูซ่า เจค ได้ใช้ความสามารถในการเป็นนักข่าว หาความจริง และนำมาตีแผ่ โดยเขาได้รับการช่วยเหลือจาก คาตางิริ (เคน วาตานาเบะ) เจ้าหน้าที่ตำรวจรุ่นเก๋า ผู้คลุกคลีอยู่กับวงการยากูซ่ามาเนิ่นนาน แต่ทว่า เจค ก็หารู้ตัวไม่ว่า เขากำลังถลำลึกลงสู่โลกที่เต็มไปด้วยอันตราย

แม้ว่าหนัง และซีรีส์อเมริกัน ที่มีบริบทในประเทศญี่ปุ่น จะมีมาไม่น้อย แต่สำหรับ Tokyo Vice นับว่าเป็นงานที่พูดถึงคนอเมริกันในญี่ปุ่น ออกมาได้โดดเด่น แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง มันเป็นซีรีส์ที่มีส่วนผสมของอาชญากรรม และหนังนักข่าว ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งยังตีแผ่วัฒนธรรมเอเชีย โดยเฉพาะในด้านดาร์ก ออกมาได้สมจริง และตรงไปตรงมาที่สุดเรื่องหนึ่ง

ช่วงต้นของซีรีส์ เป็นการนำเสนอชีวิตการแข่งขันของคนญี่ปุ่น เริ่มตั้งแต่การแย่งชิงกันเพื่อหางานทำ ไปจนถึงการดิ้นรน แข่งขันกันในองค์กรที่เข้มงวด ก่อนที่ซีรีส์จะค่อย ๆ  โยงเรื่องราวไปสู่โลกอาชญากรรม ซึ่งในเรื่องเราจะได้เห็นชีวิตการทำงานของแต่ละกลุ่มอาชีพ ทั้งถูกกฎหมาย และผิดกฎหมาย ที่ต่างต้องดิ้นรน และมีวงจรที่ไม่ต่างกันนัก ความน่าสนใจคือแทนที่ซีรีส์จะเน้นแอคชั่น หรือระทึกขวัญเหมือนหนังและซีรีส์แนวนี้เรื่องอื่น ๆ Tokyo Vice กลับเลือกพาคนดูไปสำรวจชีวิตของเหล่าผู้คนในเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สำหรับความเป็นหนังนักข่าวในซีรีส์เรื่องนี้นับว่าทำออกมาได้สนุก ชวนติดตาม ผู้ชมจะได้เห็นการปะติดปะต่อเรื่องราวจากการหาข้อมูลตามที่ต่าง ๆ ที่ค่อย ๆ ไต่ระดับความพีคขึ้นเรื่อย ๆ โดยแก่นของหนังจะพาผู้ชมไปร่วมถลำลึกสู่โลกอาชญากรรมร่วมกับตัวละคร เจค ที่แต่ละตอนตัสละครนี้จะดำดิ่งลงไปเรื่อย ๆ อย่างไรก็ตามในแง่สปิริตของความเป็นหนังนักข่าวที่ต้องหาความจริง ซีรีส์ก็ยังสะท้อนจุดนี้ออกมาได้อย่างคลเส้นคงวา แม้บางช่วงอาจดูดรอปลงไปบ้างเล็กน้อย

ในพาร์ทอาชญากรรม ตัวซีรีส์ถือว่าตีแผ่ออกมาได้อย่างละเอียด สมจริง และชวนติดตาม ผู้ชมจะได้เห็นวัฒนธรรมต่าง ๆ ของยากูซ่า และการสร้างอิทธิพล ความขัดแย้ง ของเจ้าพ่อรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ บางบริบทชวนให้นึกถึง The Godfather ฉบับญี่ปุ่นหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ นอกจากสงครามยากูซ่าแล้ว ซีรีส์ยังหยิบประเด็นของการจ่ายสินบน ระบบตำรวจกังฉิน ที่เพิ่มสีสันให้ซีรีส์มีความดาร์ก ความรุนแรงอย่างที่ควรจะเป็น

โดยรวม Tokyo Vice คืออีกซีรีส์อาชญากรรม เนื้อหาเข้มข้นจาก HBO ที่หยิบนำวัฒนธรรมญี่ปุ่น มาถ่ายทอดผ่านมุมมองของตัวละครนักข่าวอเมริกันได้อย่างชวนติดตาม ซีรีส์มีพาร์ทอาชญากรรมที่ดุเดือด รุนแรง และพาร์ทการสืบหาความจริงที่ไต่ระดับความสนุกขึ้นเรื่อย ๆ ใครทีชอบซีรีส์อาชญากรรม เนื้อหาสมจริง นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ Tokyo Vice ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes, IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Blockbuster ซีรีส์คอเมดี้ ดราม่า

ผลงานซีรีส์คอเมดี้จาก Netflix ที่ทำมาเพื่อรำลึกถึงร้านเช่าวีดีโออันโด่งดังอย่าง Blockbuster ซึ่งซีรีส์ได้ วาเนสซ่า รามอส มือสร้างซีรีส์จาก Blooklyn Nine-Nine มารับหน้าที่สร้างสรรค์ นำทีมแสดงโดย แรนดัล พาร์ค (ซีรีส์ WandaVision), เจบี สมูฟ (Spider-Man: Far From Home), เมลิสซ่า ฟูเมอโร (ซีรีส์ Blooklyn Nine-Nine) และไทเลอร์ อัลวาเรซ (ซีรีส์ Orange is the New Black)

เนื้อหาของซีรีส์ Blockbuster จะว่าด้วยร้านเช่าวีดีโอชื่อเดียวกับเนื้อเรื่อง ที่เป็นสาขาสุดท้ายบนโลก ซึ่งมีผู้จัดการเป็น ทิมมี่ (แรนดัล พาร์ค) ที่ต้องเผชิญเรื่องราววุ่น ๆ มากมายจากเพื่อนร่วมงาน และลูกค้าจอมป่วน ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องหาทางปรับตัวให้ร้านวีดีโอแห่งนี้สามารถคงอยู่ต่อไปได้ ท่ามกลางยุคที่รูปแบบการดูหนังของผู้คนเปลี่ยนไปจากเดิม

ตัวซีรีส์มาพร้อมสไตล์แบบเดียวกับ Blooklyn Nine-Nine ที่จะพาคนดูไปสำรวจเรื่องราวของกลุ่มคนทำงาน ซึ่งครั้งนี้เป็นการพาคนดูไปสำรวจชีวิตของพนักงานร้านเช่าวีดีโอ เนื้อหาของซีรีส์จะมาพร้อมสูตรซีรีส์คอเมดี้ ที่มีเนื้อหาจบในตอน และนำเสนอความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของตัวละคร ที่มีทั้งความตลก ความวายป่วง รวมถึงความอบอุ่น ฟีลกู้ด

ซึ่งในซีรีส์ Blockbuster จะมีเนื้อหาส่วนใหญ่เน้นไปที่พาร์ทดราม่า ความสัมพันธ์ของตัวละคร ที่ในแต่ละตอนจะมีประเด็นที่ต่างกันไป ทั้งความรักของพ่อลูก มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมงานด้วยกัน และเรื่องราวความรัก ที่มีทั้งสุข และทุกข์ โดยระหว่างเรื่องจะมีพาร์ทคอเมดี้ มาเป็นส่วนเสริมให้ซีรีส์มีความเบาสมอง ฟีลกู้ด

น่าเสียดายที่ทั้ง ๆ ที่ซีรีส์มีส่วนประกอบของความเป็นเนิร์ดหนังอยู่ในเนื้อหาชัดเจน ที่น่าจะถูกใจคอหนัง แต่ซีรีส์ Blockbuster กลับล้มเหลวในพาร์ทดังกล่าว เมื่อซีรีส์ไม่สามารถหยิบความเป็นเนิร์ดหนังมาใช้งานได้ แต่กลับไปโฟกัสที่เนื้อหาดราม่าแทน จนทำให้คอหนังที่อาจคาดหวังที่จะเห็นวัฒนธรรมเช่าวีดีโอหนังในซีรีส์เรื่องนี้ กลับต้องผิดหวัง ในขณะที่การเล่าเรื่องของซีรีส์ก็ไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทดราม่า หรือคอเมดี้ ที่ซีรีส์เล่าได้จืดชืด และเป็นสูตรสำเร็จจนเกินไป

Blockbuster นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์น่าผิดหวังแห่งปี 2022 อีกเรื่อง ซีรีส์ไม่สามารถหยิบความเป็นวัฒนธรรมร้านเช่าวีดีโอ หรือความเป็นเนิร์ดหนังมาเล่าได้เต็มที่เท่าควร ทำให้ซีรีส์ไม่สามารถเล่าเรื่องได้สุดสักทาง จนกลายเป็น 10 ตอน ที่พอดูได้เพลิน ๆ ไม่ได้มีอะไรน่าจดจำ

สามารถรับชมซีรีส์ Blockbuster ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Kamen Rider Black Sun ผลงานฉลองครบรอบ 50 ปีคาเมน ไรเดอร์

Kamen Rider Black Sun เป็นซีรีส์ที่ทำมาเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปี ของ Kamen Rider ที่เป็นการนำตัวละคร Kamen Rider Black กลับมาเล่าอีกครั้งในบริบทที่แตกต่างจากเดิมด้วยเนื้อหาที่มีเรท 18+ ที่มีเนื้อหา และฉากที่รุนแรง พร้อมได้นักแสดงนำอย่าง ฮิเดโตชิ นิชิจิม่า (Drive My Car) มารับบท แบล็คซัน

เรื่องราวของ Kamen Rider Black Sun จะว่าด้วยญี่ปุ่นที่ได้มีการอาศัยอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์ และไคจิน หรือผู้คนที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดได้ ซึ่งความแปลกประหลาดของไคจินนี่เอง ก็ทำให้เกิดกลุ่มคนที่พยายามขับไล่ ไคจินให้ออกจากสังคม จนเกิดเป็นความขัดแย้งทางการเมือง เหตุการณ์ในเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อ อาโออิ (โคโคโระ ฮิราซาวา) เด็กสาวที่ออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมให้ไคจิน แต่เธอกลับถูกเหล่าพรรคโกลกอม กลุ่มไคจินที่หวังทำลายโลก พยายามลักพาตัวเธอเพื่อใช้หินวิเศษที่อยู่กับตัวเธอนั้น ในการปลุกพลังของผู้นำไคจิน ให้กลับมาทรงพลังอีกครั้ง คนเดียวที่จะปกป้องอาโออิ ได้นั้นคือ แบล็คซัน (ฮิเดโตชิ นิชิจิม่า) มาช่วยปกป้องเธอจากเหล่าไคจินวายร้าย

สื่งที่ทำให้ซีรีส์​​ Kamen Rider Black Sun มีความโดดเด่นกว่าซีรีส์แนวไอ้มดแดงเรื่องอื่น ๆ คือการเป็นซีรีส์ที่เปลี่ยนรูปการเล่าเรื่องให้ออกมาเป็นซีรีส์เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวที่ โดยจะมีเนื้อหาที่พูดถึงการเมือง สิทธิมนุษยชน ความรุนแรง โหดร้าย ที่จะถูกเล่าเป็นเส้นเรื่องหลัก ดังนั้นแม้ว่าภาพรวมของซีรีส์จะยังเป็นการต่อสู้ของผู้ดี และผู้ร้าย แต่บริบทแวดล้อมกลับมีมิติที่น่าสนใจ และสามารถผูกโยงเรื่องราวได้อย่างยอดเยี่ยม

ในด้านฉากแอ็คชั่นของซีรีส์ ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของหนังประเภท Kamen Rider ที่มีฉากแปลงร่าง ฉากต่อสู้ที่มีความเท่แบบไอ้มดแดง แต่เพิ่มเติมคือความรุนแรงที่ซีรีส์ทำออกมาได้ค่อนข้างสุดมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากเลือด ๆ และวิธีการฆ่าที่โหดร้าย เลือดเย็น รวมถึงความไร้ปราณีของเนื้อเรื่องที่เต็มไปด้วยความตาย โศกนาฎกรรม ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กอย่างยิ่ง

ด้านการเล่าเรื่องของ Kamen Rider Black Sun ตัวซีรีส์จะเล่าเรื่องโดยใส่อีสเตอร์เอ้กโยงไปยังซีรีส์ Kamen Rider Black อยู่บ้าง ทำให้ใครที่เป็นสาวกซีรีส์แนวนี้น่าจะชื่นชอบกับการเชื่อมโยงเนื้อหาของเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่กระนั้นหากใครที่ไม่ได้ตามซีรีส์ชุดนี้มาก่อนก็ยังสามารถดูซีรีส์ชุดนี้รู้เรื่องเช่นกัน เพราะเนื้อหาจะมีการอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องผ่านสองไทม์ไลน์

จุดด้อยของ Kamen Rider Black Sun คือการที่ซีรีส์พยายามรักษามาตรฐานความเป็นหนังไอ้มดแดงคลาสสิกจนเกินไป จนทำให้มาตรฐานงานโปรดักชันของซีรีส์ออกมาธรรมดา ชุดแปลงร่างของตัวละครที่ดูเป็นชุดยางที่ดูไม่เนียนตา และบางครั้งออกมาดูไม่น่าเกร็งขาม และดูตลกเกินไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Kamen Rider Black Sun เป็นงานที่คอซีรีส์ไอ้มดแดงน่าจะชื่นชอบ เพราะตลอด 10 ตอนของซีรีส์เรื่องนี้เต็มอิ่มด้วย กลิ่นอายของซีรีส์ไอ้มดแดงที่ทุกคนคุ้นเคย พร้อมเพิ่มเติมความเข้มข้นแบบซีรีส์ผู้ใหญ่ ที่มีความดุดัน ไร้ปราณี ใครที่ชอบซีรีส์สายโหด ๆ แอ็คชั่นดุเดือนแบบ The Boys นี่คืออีกหนึ่งซีรีส์ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชมซีรีส์ Kamen Rider Blac Sun ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Bear ซีรีส์ดราม่าเนื้อหาเข้มข้น

The Bear เป็นผลงานซีรีส์แนวดราม่าจากช่อง FX ที่เป็นผลงานการสร้างสรรค์โดย คริสโตเฟอร์ สโตร์เรอร์ โดยเนื้อหาของซีรีส์จะว่าด้วย คาร์เมน (เจเรมี่ อัลเลน ไวท์) เชฟหนุ่มมากฝีมือ ที่ได้กลับมารับหน้าที่เป็นผู้ดูแลร้านอาหารของครอบครัว ณ เมืองชิคาโก โดยในแต่ละวันเขาจะต้องเผชิญกับความวุ่นวาย และปัญหาต่าง ๆ ที่เขา และทีมเชฟภายในร้านจะต้องร่วมกันรับมือกับปัญหาเหล่านั้น

ความน่าสนใจของซีรีส​ The Bear คือการนำเสนอเนื้อหาของซีรีส์ที่มีความกระชับ ด้วยความยาวในแต่ละตอนประมาณ 30 นาทีเท่านั้น โดยเนื้อหากว่า 70 % ของซีรีส์เรื่องนี้เป็นการดำเนินเรื่องภายในห้องครัวเป็นหลัก ซึ่งผู้ชมจะได้เห็นบรรยากาศที่สุดแสนจะวุ่นวาย และเต็มไปด้วยเรื่องราวต่าง ๆ

แม้ว่าตัวซีรีส์จะเล่าเรื่องที่เน้นไปที่ห้องครัวเป็นหลัก และเป็นแนวดราม่า ว่าด้วยร้านอาหาร แต่ The Bear สามารถนำเสนอเรื่องที่ดูสุดแสนจะธรรมดานี้ให้ออกมาสนุก น่าติดตาม ผู้ชมจะได้เห็นสงครามประสาทระหว่างทีมเชฟภายในร้านที่เต็มไปด้วยการด่าทอ ถกเทียง และสานสัมพันธ์มิตรภาพต่าง ๆ ซึ่งฉากเหล่านี้เป็นเสมือนไฮไลท์สำคัญของหนัง ราวกับฉากแอ็คชั่นอันดุเดือดในหนังฟอร์มยักษ์ ที่ผู้ชมจะได้ร่วมลุ้น ร่วมเอาใจช่วยกับตัวละครเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

นอกจากฉากในห้องเชฟที่ทำออกมาได้สนุกเข้มข้นแล้ว ในด้านไฮไลท์ที่หนัง หรือซีรีส์แนวเชฟ ควรมีอย่างการนำเสนอเมนูอาหารต่าง ๆ ให้คนดูชวนหิว แม้ว่าในซีรีส์ The Bear จะไม่ได้โฟกัสที่เมนูอาหารมาก แต่ทุกเมนูที่ปรากฏในซีรีส์ ก็นำเสนอออกมาได้น่าทาน และสามารถหยิบลายเซ็นของหนัง หรือซีรีส์อาหาร มาถ่ายทอดได้อย่างสมจริง

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชมทีมนักแสดงนำ ที่ต่างถ่ายทอดบทบาทตนเองออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ และมีเคมีการแสดงที่ลงตัวมาก ๆ ด้านบทบาทของ เจเรมี่ อัลเลน ไวท์ ที่ได้แบกซีรีส์ทั้งเรื่องเอาไว้ เขาสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละคร คาร์เมน ที่มีความพูดน้อยต่อยหนัก และเต็มไปด้วยฉากอารมณ์ที่ดุเดือด เช่นเดียวกับ อีบอน มอส-บาชราช ที่เป็นอีกนักแสดงที่ถ่ายทอดบทอารมณ์ได้ถึงอารมณ์ไม่แพ้กัน เคมีของทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในส่วนที่ทรงพลังที่สุดของหนังเรื่องนี้ก็ว่าได้

โดยรวม The Bear เป็นงานซีรีส์ดราม่าเปี่ยมคุณภาพอีกเรื่องแห่งปี 2022 ที่สามารถหยิบความเป็นซีรีส์แนวอาหารมานำเสนอได้อย่างสนุก ครบรส และเล่าเรื่องได้ถึงพริกถึงขิง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมของทีมนักแสดง วิธีการเล่าเรื่องที่ชวนติดตามไม่น่าเบือ มีความสมจริงในการนำเสนอ ใครที่เป็นคอซีรีส์ดราม่าคุณภาพ ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชมซีรีส์ The Bear ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar  

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส​ Reboot

Reboot เป็นซีรีส์คอเมดี้ ดราม่า ผลงานโดย Hulu ที่ได้มือ สตีเวน เลอวิแทน เจ้าของผลงานซีรีส์ฟีลกู้ดอย่าง Modern Family มารับหน้าที่สร้างสรรค์ โดยเนื้อหาจะว่าด้วยเรื่องราวของทีมสร้างซีรีส์จาก Hulu ที่ได้วางแผนที่จะนำซีรีส์ซิทคอมที่เคยโด่งดังเมื่อปี 2000 กลัมมารีบูทอีกครั้ง โดยได้ทีมนักแสดงชุดเดิมกลับมาทำงานร่วมกันในรอบสิบกว่าปี

แต่ทว่าการกลับมาในครั้งนี้ กลับเต็มไปด้วยเรื่องวุ่น ๆ มากมาย ทั้งความสัมพันธ์ของเหล่านักแสดงที่เติบโตขึ้น และความขัดแย้งต่าง ๆ ของทีมงานเบื้องหลัง ที่พวกเขาและเธอจะต้องร่วมกันแก้ไขเพื่อให้ซีรีส์ชุดนี้กลับมาสร้างชื่ออีกครั้ง

ความสนุกของซีรีส์เรื่องนี้ ก็ยังคงมาตามสูตรของซีรีส์คอเมดี้ ที่จะเน้นไปที่การพูดถึงชีวิตวุ่น ๆ ปนตลกของชีวิตผู้คน โดยในเรื่องนี้ซีรีส์เลือกที่จะนำเสนอเบื้องหลังของวงการซีรีส์ ภาพยนตร์ ของฮอลีวูด ที่เต็มไปด้วยกระบวนการ และปัญหาต่าง ๆ มากมาย ซึ่งซีรีส์ได้หยิบประเด็นทุกขึ้นตอนการสร้างซีรีส์ มาถ่ายทอดได้อย่างละเอียดสมจริง ตั้งแต่ขั้นตอนการคิดสร้างสรรค์ ไปจนถึงการถ่ายทำ ที่น่าจะถูกใจใครที่ชอบหนังที่ว่าด้วยเบื้องหลังวงการบันเทิง

ตัวซีรีส์จะมีเนื้อหาที่มีประเด็นที่จบในตอน และบางเนื้อหาที่เชื่อมโยงไปสู่ตอนต่อไป โดยมุกตลกที่เป็นจุดเด่นของซีรีส์ชุดนี้ก็คือการเล่นมุกของเบื้องหลังวงการ ที่เล่าออกมาได้อย่างถึงพริกถึงขิง ตั้งแต่การแซะ Disney ที่ทำการซื้อ Fox หรือมุกตลกที่หยิบประเด็นร่วมสมัยอย่าง LGBTQ+ มาเป็นส่วนช่วยให้การเล่าเรื่องเปี่ยมด้วยสีสัน และมีความเข้ากับยุคสมัย

นอกจากพาร์ทคอเมดี้ที่ทำออกมาได้ตลก และพาร์ทเบื้องหลังวงการบันเทิงที่ทำออกมาได้อย่างสนุกชวนติดตามแล้ว Reboot ก็ยังเป็นซีรีส์ที่นำเสนอพาร์ทดราม่าออกมาได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน ซีรีส์สามารถหยิบคาแรคเตอร์ตัวละครมาใช้งานให้ออกมามีมิติ และมีประเด็นของแต่ละคนที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นดราม่าครอบครัว มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน และความรัก โรแมนติก ที่ซีรีส์เล่าพร้อมสออดแทรกมุกได้กลมกล่อมลงตัว

โดยรวม Reboot เป็นซีรีส์คอเมดี้ ดราม่า น้ำดีอีกเรื่องที่เล่าเรื่องได้อย่างสนุก ครบรส ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทตลกที่เล่าได้ร่วมสมัย เคล้าดราม่าที่มีหลากหลายประเด็น ตัวละครแต่ละตัวที่น่าจดจำ ใครที่ชอบซีรีส์ หรือหนังที่สะท้อนภาพเบื้องหลังวงการฮอลีวูด นี่เป็นอีกเรื่องที่คอซีรีส์ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชมซีรีส์ Reboot ได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Five Days at Memorial ซีรีส์สร้างจากเหตุการณ์จริงสุดสะเทือนใจ

ผลงาน Limited Series จาก Apple TV ผลงานการสร้างสรรค์โดย จอห์น ริดลีย์ (12Years a Slave) ที่ดัดแปลงมาจาหนังสือของ เชอรี ฟิงค์ ที่สร้างจากเหตุการณ์จริงในช่วงที่ได้มีพายุเฮอริเคน ได้พัดถล่มนิวออร์ลีนส์ จนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดน้ำท่วม ผู้คนสูญเสียบ้านเรือน รวมถึงชีวิต หนึ่งในสถานที่พึ่งพิงแห่งสุดท้ายของพวกเขาคือ โรงพยาบาล

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อโรงพยาบาลเมมโมเรียล ได้พาผู้คนอพยพเพื่อพักอาศัยชั่วคราว รวมทั้งมีกลุ่มหมอ พยาบาล และคนไข้ที่ยังติดอยู่ในนั้น จนกระทั่งพายุได้ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายมากขึ้น เมื่อคนภายในโรงพยาบาลต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีไฟฟ้า และเครื่องมือที่จะช่วยชีวิตเป็นเวลานานถึง 5 วัน ซึ่งมันได้นำมาสู่บทสรุปอันน่าสะเทือนใจที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา

ตัวซีรีส์มาพร้อมความยาวทั้งสิ้น 8 ตอน ที่ 5 ตอนแรกจะเป็นการพูดถึงเหตุการณ์ในช่วง 5 วันแห่งการเอาชีวิตรอด และ 3 ตอนท้ายคือการพูดถึงเรื่องรวหลังจากนั้น ด้วยความที่ซีรีส์เลือกที่จะเล่าเหตุการณ์นี้แบบละเอียดทำให้ใน Five Days at Memorial เป็นซีรีส์ที่ไม่ได้มีตัวเอกที่ชัดเจน และไม่มีการเล่าเรื่องผ่านมุมมองใดมุมมองหนึ่งเป็นหลัก แต่ซีรีส์เลือกที่จะเล่าผ่านทุกมุมมองอย่างเท่าเทียม และเป็นกลาง

แม้ว่าหน้าหนังของซีรีส์เรื่องนี้จะออกมาดูเป็นแนว Survival แต่ด้วยความที่เป็นเหตุการณ์จริง ทำให้ประเด็นของเรื่องมีมากกว่าแค่การเอาชีวิตรอด แต่ซีรีส์ยังมีการพูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลท่ีในตอนนั้นคือรปะธานาธิบดีจอช บุช รวมถึงการพูดถึงน้ำใจ และความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ในยามเข้าตาจนที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม

อีกจุดเด่นขอซีรีส์เรื่องนี้คือการค่อย ๆ พาคนดูไปร่วมสังเกตการณ์เหตุการณ์เอาชีวิตรอดทั้ง 5 วัน ที่จะค่อย ๆ เผยความน่าสะเทือนใจออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ 5 ท่ีเต็มไปด้วยเนื้อหาที่ชวนหดหู่ และบีบอารมณ์อย่างถึงที่สุด ในขณะที่ 3 ตอนหลังจากนั้นซีรีส์ได้เปลี่ยนโทนไปสู่การเป็นหนังสืบสวนท่ีเข้มข้น และมีฉากหักมุม ที่ทำเอานดูช็อคไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใครที่ไม่เคยรู้เรื่องราวนี้มาก่อน

Five Days at Memorial นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์น้ำดีแห่งปี 2022 ที่หลายคนอาจมองข้าม ตัวซีรีส์มาพร้อมการหยิบเรื่องจริงมาเล่าได้อย่างชวนติดตาม เต็มไปด้วยความน่าหดหู่ สะเทือนอารมณ์ และประเด็นต่าง ๆ ที่มากกว่าแค่การเป็นซีรีส์เอาชีวิตรอด ใครที่ชอบซีรีส์หรือหนังที่สร้างจากเหตุการณ์จริง นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ Five Days at Memorial ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Apple TV+

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

“Monstrous (2022)” ความลี้ลับอันขนหัวลุกจาก “พระพุทธรูปโบราณ” สุดสยอง

                ถ้าพูดถึงพระพุทธรูป…เราจะต้องนึกถึงพระพุทธรูปที่เพิ่มความรุ่งเรือง ให้สิริมงคลแก่ชีวิต แต่ถ้าพระพุทธรูปองค์นั้นกลับสร้างความบรรลัยไส้ไก่ขึ้นมาล่ะ เราจะทำยังไง ซึ่งซีรีส์เรื่อง “Monstrous” เป็นซีรีส์แกะกล่องใหม่แห่งปี 2022 ที่เรื่องราวเกี่ยวกับการค้นพบพระพุทธรูปโบราณ ที่ใครๆ ต่างเชื่อกันว่า…จะต้องเป็นสมบัติของชาติอย่างแน่นอน

แล้วถ้าสมบัติของชาติชิ้นนี้กลายเป็น “ผนึกแห่งความเลวร้าย” เรื่องเลวร้ายตามมาอย่างแน่นอน หากความเลวร้ายเหล่านั้นหลุดออกจากพระพุทธรูปนี้ขึ้นมาล่ะ ถ้าตัดมาที่ประเทศไทยคงจะไม่รู้ว่า…ระหว่างทัวร์ลงกับวินาศสันตะโร ควรกลัวอันไหนก่อน

                “จองกีฮุน” ค้นหาปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่แปลกประหลาดในฐานะนักโบราณคดี แต่คดีที่ไม่คาดฝันทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ตอนนี้เขาโด่งดังจนได้รับการตีพิมพ์ลงในนิตยสารไสยศาสตร์ Monthly Strange Story และเปิดช่อง YouTube Monthly Strange Story เพราะอดีตภรรยาของเขา “ลีซูจิน” เขาจึงไปที่จินยาง เพื่อศึกษา “Gwibul” ซึ่งเป็นเศียรพระพุทธรูปโบราณที่ถูกฝังลึกมาหลายร้อยปี แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าที่พระพุทธรูปนี้มีวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง ที่นั่นเขาต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่น่าเชื่อ

                เมื่อตรวจสอบข้อมูล และหลักฐานที่บันทึกไว้จะเห็นอักขระบางอย่างในพระพุทธรูป ชาวบ้านมีพฤติกรรมแปลกๆ คล้ายอาการ “อุปทานหมู่” และอาการ “ผีสิง” รวมถึงวัดวาอารามในจินยาง พระสงฆ์ในวัดต่างผวากันสุดขีด เมื่อการค้นพบพระพุทธรูปนั้น นำไปสู่ความสยองขวัญอย่างไม่คาดคิดว่าจะต้องเจอ

ในขณะเดียวกัน “ลีซูจิน” เคยถอดรหัสตัวอักษรและสัญลักษณ์ในฐานะนักโบราณคดี เธอทำงานได้อย่างดีเยี่ยม แต่ลูกคนเดียวของเธอเสียชีวิต แล้วเธอก็ไปเทศมณฑลจินยาง ที่นั่นลีซูจินประสบปรากฏการณ์ลึกลับ ซึ่งทำให้เธอต้องค้นหาคำตอบว่า…ในพระพุทธรูปนั้น มันมีอะไรซ่อนอยู่

และความลี้ลับที่ยากจะค้นหาคำตอบ มันทำให้คนในเมืองจินยางต่างอยู่ไม่สุขเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านในละแวกนั้น รวมถึง “ฮันซอกฮี” หัวหน้าสถานีตำรวจหญิง กับ “ฮันโดคยอง” ลูกชายของเธอ ที่ต้องผวากับสิ่งที่มองไม่เห็น ผู้ว่าการของจินยาง  “ควอนจองซู” และคนที่คอยสร้างปัญหาของเรื่องอย่าง “กวักยองจู” ต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ

                จากทั้งเมืองที่อยู่อย่างสงบสุข ความน่าสะพรึงกลัวที่มีคำเตือนเป็น “อีกาดำ” ทำให้ทั้งเมืองปกคลุมไปด้วยความน่ากลัวที่ไม่มีใครพิสูจน์ความสยองเหล่านั้นได้เลย จุดนั้นเองจะทำยังไง เพื่อหยุดความเลวร้ายก่อนที่จะบานปลายไปมากกว่านี้ ซึ่งซีรีส์ “Monstrous” เริ่มฉายในวันที่ 29 เมษายนเป็นตอนแรกทาง TVING แค่ตอนแรกออกมาก็สนุกแล้ว หลังจากนั้นจะสนุกแค่ไหน อยากให้ลองติดตามกันเลยทีเดียว

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
Uncategorized

Yoru wa Neko to Issho ค่ำคืนของทาสแมว อนิเมะ สะดุดรักกับดักเจ้าเหมียว

ขอเอาใจชาวทาสแมว  ด้วยการ์ตูน อนิเมะ สุดน่ารัก อบอุ่นหัวใจ ที่มีชื่อว่า Yoru wa Neko to Issho ค่ำคืนของทาสแมว ซึ่งแน่นอนว่าเนื้อหาทั้งเรื่องของการ์ตูน อนิเมะ เรื่องนี้ ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับน้องเหมียวโดยเฉพาะ งานนี้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ให้ดีนะ เพราะคุณอาจจะต้องโดนมนต์สะกดจากเจ้าเหมียวตัวนี้เข้าแบบเต็มๆ แน่ๆ เพราะฉะนั้น เดี๋ยวเราลองไปเช็คอ่านเรื่องราวของการ์ตูน อนิเมะ เรื่องนี้กันก่อนเลยดีกว่า

Yoru wa Neko to Issho ค่ำคืนของทาสแมว เป็นแนวเกี่ยวกับอะไร?

เป็นอนิเมะที่ออกฉายทางทีวี และสามารถดูได้ทุกเพศทุกวัย

• แนวหลักๆ จะเน้นความ คอมเมดี้ ซึ่งดูแล้วไม่เครียดแน่นอน

มีความรัก โรแมนติก เป็นบางฉากบางตอน ละมุนใจสุดๆ ไปเลยล่ะ

• มีความอบอุ่นหัวใจ ดูแล้วต้องยิ้มปริ่มไปตามๆ กัน

• มีแมวเป็นตัวละครหลัก ขอบอกเลยวาถูกใจทาสแมวอย่างแน่นอน

เรื่องย่อ อนิเมะ

การ์ตูน อนิเมะ แนวคอมเมดี้อบอุ่นหัวใจ เรื่องนี้ จะประกอบไปด้วยตัวละครหลัก ดังต่อไปนี้

• Kyuruga เจ้าเหมียวตัวอ้วนกลม มีขนสีเทานุ่มๆ ปกคลุมร่างกาย

• Fuuta-kun หนุ่มผู้ไม่เคยเลี้ยงแมว

• Pii-chan สาวน้อยทาสแมว น้องสาวของ Fuuta-kun

โดยอนิเมะเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของ Fuuta-kun หนุ่มผู้ไม่เคยเลี้ยงแมวมาก่อน แต่น้องสาวของเขา Pii-chan ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของเขา กับ Kyuruga เจ้าแมวอ้วนตัวกลมสีเทาขนนุ่มนิ่มน่ากอดชะมัด แต่ Fuuta-kun ไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับแมวเลย เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และในทุกคืนหลังจากที่เขากลับมาถึงบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย เขาได้ใช้เวลาอยู่กับเจ้าเหมียวที่อ้อนเก่ง

ด้วยนิสัยและท่าทางของเจ้าเหมียวทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ตอนนี้เขาเริ่มชอบการใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าขนเฟอร์นุ่มนิ่มสุดน่ารักตัวนี้แล้วล่ะ หลังจากนี้เขาจะต้องพบกับความประหลาดใจจากความน่ารักของสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขา ที่ทำให้เขาเปลี่ยนเป็นคนใหม่ไฉไลกว่าเดิม สามารถติดตามชมเรื่องราวสุดน่ารักนี้ได้ใน อนิเมะ Yoru wa Neko to Issho ค่ำคืนของทาสแมว เรื่องนี้ได้เลย

ความน่าสนใจของการ์ตูนอนิเมะเรื่องนี้

การ์ตูน อนิเมะ สุดน่ารักเรื่องนี้ เป็นการ์ตูนแนวคอมเมดี้ที่สามารถรับชมได้ทุกเพศทุกวัย ไม่จำกัดอายุ โดยเรื่องนี้ได้เริ่มออกอากาศเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2022 ซึ่งได้มีกระแสตอบรับที่ดีมากๆ ทั้งจากเหล่าทาสแมว หรือสาวกอนิเมะ ขอบอกเลยว่า อนิเมะYoru wa Neko to Issho ค่ำคืนของทาสแมว เรื่องนี้ ทำออกมาได้ดีมาก น่าประทับใจ อีกทั้งตัวละครก็น่ารักนุบนิบใจสุดๆ ไปเลย ที่สำคัญเรื่องนี้ยังมีข้อคิดคติเตือนใจสอดแทรกด้วยล่ะ เพราะฉะนั้น ห้ามพลาดเลยจ้า

รูปภาพประกอบ : animeclick.it

รูปภาพประกอบ : myanimelist.net

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวหนัง SLR กล้อง ติด ตาย

อีกหนึ่งหนังสยองขวัญไทยที่เข้าฉายเมื่อช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมา โดยเป็นการหยิบเรื่องราวความสยองที่เกิดจากกล้องถ่ายรูปกลับมาเล่าอีกครั้ง โดยหนังจะว่าด้วย แดน (นนน กรภัทร) เด็กหนุ่มที่กำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัย และมีความฝันอยากเป็นช่างภาพชื่อดัง แต่ทว่าเขายังติดการทำธีสิสส่งอาจารย์

ทำให้แดน ไม่สามารถไปเรียนต่อที่อเมริกากับ น้ำ (เฌอปราง BNK48) และเกรท (นนท์-ศดานนท์) ได้ จนกระทั่งเขาก็ได้รับโอกาสที่จะสามารถทำธีสิส จบได้ดังหวัง เมื่ออาจารย์เอม (อ้น-นพพันธ์) ได้มอบกล้อง SLR ตัวหนึ่งให้กับเขา เพื่อนำไปถ่ายรูปผู้คน จนได้เป็นผลงานที่น่าพอใจ แต่ทว่าเบื้องหลังของกล้อง SLR ตัวนี้มีความลับอันน่าสะพรึงซ่อนอยู่

ตัวหนังพาพร้อมพลอต และการเล่าเรื่องที่ชวนนึกถึงหนังเรื่อง Polaroid เมื่อปี 2019 หนังอาจไม่ได้เน้นขายที่ความน่ากลัวของผี หรือวิญญาณในเรื่องมากนัก แต่จะหนักไปทางอาถรรพ์ คำสาป ที่เป็นลูกเล่นให้ตัวละครต้องหาทางแก้ไข และเอาชีวิตรอด ความพิเศษของหนังเรื่องนี้ คือการนำความเป็นหนังผีแบบไทย ๆ และปีศาจจากศาสนาคริสต์ ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จนสามารถสร้างรสชาติใหม่ ๆ ให้กับหนังแนวนี้ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่อง ที่ให้อารมณ์ความหลอน ความระทึก ที่สนุกไปอีกแบบ ทั้งนี้ด้วยการเป็นหนังที่ได้มือสร้างหนังสยองขวัญรุ่นใหญ่อย่าง ก้องเกียรติ โขมศิริ (ลองของ) มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง ที่ทำให้หนังคงไว้ซึ่งความน่ากลัวแบบหนังผียุค 90 เอาไว้

ด้านพาร์ทดราม่าเอง หนังก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี มีการสร้างมิติของแต่ละตัวละครได้อย่างมีน้ำหนัก โดยเฉพาะตัวละครแดน ที่ผู้ชมจะได้เห็นปม และอุปสรรคในชีวิต ที่บีบบังคับตัวเขาจนกลายเป็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเรื่อง ทั้งปัญหาด้านความฝัน แรงกดดันจากครอบครัว และเพื่อน ๆ รวมทั้งพาร์ทความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนทั้ง 3 ที่ออกมาในเชิง รักสามเศร้าจนเป็นอีกหนึ่งสีสันสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ชวนติดตามไม่แพ้กัน

แต่กระนั้นส่วนที่น่าเสียดายมาก ๆ ของ SLR คือการที่หนังไม่สามารถหยิบนำประโยชน์ของความน่ากลัวของตัวเองมาใช้ได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร หนังค่อนข้างเน้นไปที่พาร์ทดราม่า เป็นส่วนใหญ่ จนบดบังความสยองขวัญที่ควรเกิดขึ้นในเรื่อง ทั้งนี้ในด้านของบทเอง ก็มีช่องโหว่เหมือนหนังไทยหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลของการกระทำตัวละครในบางช่วงที่ดูขาดน้ำหนัก และจังหวะการเล่าเรื่องบางช่วงที่ดูรวดเร็วจนเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้ความสยดสยอง น่ากลัวที่ควรจะมีของหนังหายไปโดยสิ้นเขิง

โดยรวม SLR กล้อง ติด ตาย เป็นอีกหนังสยองขวัญไทย ที่มาพร้อมความสยองขวัญที่ไม่ค่อยเห็นในไทย หนังผสมผสานความเชื่อเรื่องคำสาป วิญญาณ และปีศาจของศาสนาคริสต์ จนกลายเป็นความน่ากลัวแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร แต่กระนั้นหนังกลับตกม้าตายในการเล่าเรื่อง ทั้งพาร์ท ดราม่าที่เยอะเกินไป และความน่ากลัวที่ถูกนำมาใช้งานได้ไม่สุดเท่าที่ควร ทำให้ท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ก็เป็นงานที่พอดูได้เพลิน ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำมากนัก

สามารถรับชม SLR กล้อง ติด ตาย ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
anime

Review The Way of the Househusband

ชื่อเรื่อง : The Way of the Househusband

หาก คุณ เป็นหนึ่งคนที่ชื่นชอบการชม อนิเมะ สายฮา ต้องมาลองติดกับอนิเมะ เรื่อง The Way of the Househusband ที่จะพาทุกคนไปพบกับความสนุกสนาน บันเทิง บอกเลยว่าครบรสของความสนุก จบ ได้ในเรื่องเดียว เวลาการฉายแต่ละตอนอยู่ที่ ตอนละ 18 นาที มีทั้งหมด 29 ตอนจบ รวม ๆ แล้ว เป็นเวลาที่พอดี ไม่น่าเบื่อจนเกินไป

เนื้อเรื่องย่อ The Way of the Househusband

ในเรื่องเป็นการเล่าถึงเรื่องราวของ ยากูซะ สุดโหดคนหนึ่ง นามว่า ทัตสึคนอมตะ ในอดีตเขาเป็นชายหนุ่มที่น่าเกรงขามมาก ไปที่ไหนมีแต่ผู้คนเกรงกลัว ทว่าปัจจุบันตั้งแต่เขาได้พบรักกับสาวสุดน่ารัก ทำให้เขากลายมาเป็น พ่อบ้าน ที่บอกเลยว่าทั้งตลก และสนุก ไปพร้อม ๆ กัน เพราะเรื่องหลังจากนี้ จาก ยากูซะ สุดโหด กลายมาเป็นพ่อบ้านสายอ่อนโยน มันฮาขนาดไหน ต้องมาติดตามกันได้เลย

เนื้อเรื่องที่ประทับใจ แบบห้ามพลาดของ The Way of the Househusband

ความประทับใจในเรื่องบอกเลยว่าเป็นการนำเสนอมุมมองของผู้ชายที่ดิบเถื่อน จากคนที่ไม่เคยอ่อนโยน มาพบความรัก ตัวละคร ทัตสึคนอมตะ  สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของพ่อบ้านที่ต้องเอาใจคุณภรรยาสุดที่รัก ทั้งทำอาหาร ทำงานบ้าน เรียกได้ว่า พ่อบ้านตัวอย่างกันเลยทีเดียว ซึ่งหลาย ๆ ฉาก สามารถนำมาสอนการใช้ชีวิตประจำวันได้เลย และสำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบอนิเมะไม่เครียด สบาย ๆ ชมได้แบบความสนุกทุกตอน บอกเลยเรื่องนี้ คือ ตอบโจทย์ 100% ปัจจุบันก็ลงครบทุกตอน สามารถชมกันได้ยาว ๆ 1 ชั่วโมงกว่าก็จบแล้ว

Production ของเรื่อง The Way of the Househusband

จากการรับชมส่วนตัวให้เลย 9.5 / 10 คะแนน ด้วยความที่เริ่มต้นของการดำเนินเรื่องราว เป็นอนิเมะที่ใช้รูปแบบการนำเสนอง่าย ๆ สั้น ๆ มีการทำมุก ตลกขับขัน โดยที่เนื้อหามีความต่อเนื่อง ไม่ใช่แบบวกไปวนมาแต่อย่างใด ให้ความรู้สึกที่ชมแล้วไม่ได้เครียด ออกแนวผ่อนคลาย เบาสมอง ชมได้

เพลิน ๆ ในส่วนของ ภาพ สี แสง ต่าง ๆ ทุกอย่างลงตัวของความสมบูรณ์ และบางคนกลัวจะฟังไม่ออก หรือ อ่านซับไทยไม่ทัน บอกเลยว่ามีเสียงพากย์ไทย ที่รับฟังแล้วรู้สึกว่าลงตัว ไม่ได้เสียงดูหลอกจนเกินไป สมตัวละครทุกตัว และฟังลื่นหู ไม่มีสะดุด แต่แอบหักคะแนน 0.5 เพราะว่าบางมุกก็จำเจเกินไป และเป็นการนำเสนอแบบภาพนิ่ง ๆ ต่อเนื่องกันไปนั้นเอง แต่โดยรวมถือว่าอนิเมะน้ำดีเรื่องหนึ่งเลย ในการรับชม สามารถชมได้ทาง Netflix ได้แล้ววันนี้ ความสนุก รอ คุณ อยู่แน่นอน

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Sinner season 1

The Sinner คืออีกหนึ่งซีรีส์สืบสวน อาชญากรรม น้ำดีจาก Netflixที่ปัจจุบันนี้มี 4 ซีซั่นจบ ผลงานการสร้างสรรค์โดย เดเรค ไซมอนส์ (Call Me by Your Name) ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือของ เปตรา แฮมเมสฟาห์ โดยคอนเซปต์ของซีรีส์จะพูดถึงเรื่องอาชญากรรมที่เกิดจากความผิดบาป ด้านมืดของมนุษย์ หรือความเป็นฟิล์มนัวร์ ที่หลายคนคุ้นเคย ซึ่งเนื้อหาจะแบ่งเป็น 1 คดี/1 ซีซั่น และมีตัวละครศูนย์กลางคือ แฮร์รี่ แอมโบลส (บิล เพิร์ลแมน) นักสืบรุ่นเก๋า ผู้ยึดมั่นในความยุติธรรม และพร้อมพิสูจน์ความจริง

เนื้อหาของ The Sinner ซีซั่น 1 จะว่าด้วยเรื่องราวของ โคร่า (เจสสิก้า เบล) หญิงสาวที่ภายนอกดูปกติทุกอย่าง แต่วันหนึ่งระหว่างที่เธอกำลังพักร้อนกับสามี และลูก จู่ ๆ โคร่า ก็ได้ใช้มีดปลอกผลไม้พุ่งเข้าไปแทงชายคนหนึ่งจนตาย ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้ โคร่า ถูกจับในฐานฆ่าคนตายในทันที แต่ด้าน แฮร์รี่ เจ้าหน้าที่สืบสวนที่รับผิดชอบคดีนี้ กลับเชื่อว่าคดีนี้ยังมีเงื่อนงำบางอย่าง เขาเลยค่อย ๆ เข้าไปพูดคุยกับ โคร่า เพื่อหาความจริงจากเธอ และเขาก็พบว่าคดีนี้มันได้เกี่ยวข้องกับอดีตที่เลวร้ายของเธอ

ความน่าสนใจของ The Sinner คือการนำเสนอเรื่องราวอาชญากรรม ผ่านหลากหลายมุมมอง เพื่อให้เราได้เห็นภาพรวมของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยซีรีส์มีส่วนผสมของความดราม่า อาชญากรรม และระทึกขวัญที่เข้ากันอย่างลงตัว

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีซั่น 1 นี้ ผู้สร้างได้ท้าทายทัศนคติ และความคิดของคนดู ด้วยการเปิดเรื่องด้วยคดีที่เหมือนจะเคลียร์ในตัวเองแล้วตั้งแต่นาทีทีเกิดเหตุ จากนั้นซีรีส์ก็ค่อย ๆ พาคนดูย้อน ทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ จากนั้นซีรีส์ก็นำเสนอเหตุการณ์ในอดีตของโคร่า ตัดสลับไปมากับเหตุการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ซีรีส์ก็ใช้วิธีเผยเหตุการณ์ทีละนิด เพื่อเก็บไฮไลท์ที่เตรียมเฉลยในตอนท้าย

ส่วนที่ดีงามมาก ๆ ของ The Sinner คือความเป็นจิตวิทยาของซีรีส์ ที่มีการสะท้อนภาพของคนที่มีอาการ PTSD และสูญเสียความทรงจำออกมาได้อย่างสมจริง คนดูจะไม่ได้เห็นตัวละคร โคร่า เป็นเพียงจำเลยเท่านั้น แต่เธอยังเป็นคนที่จิตใจบอบช้ำจากการข่มขืน และทำร้ายร่างกายอีกด้วย ซึ่งตัว เจสสิก้า เบล ก็สามารถถ่ายทอดความไม่ปดติทางจิตใจของตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม

และด้วยความที่ซีรีส์พูดเรื่องความผิดบาป นอกจากการเป็นซีรีส์สืบสวนแล้ว พาร์ทดราม่าของซีรีส์ก็ทำออกมาได้อย่างดี ด้วยการทำให้ตัวละครทุกตัวในเรื่อง ไม่มีใครขาส หรือดำสนิท แต่ทุกคนต่างเป็นคนที่มีความรู้สึกผิดบาปซ่อนอยู่ในใจทั้งสิ้น ซึ่งซีรีส์สามารถถ่ายทอดมุมต่าง ๆ ของตัวละคร ออกมาให้คนดูได้ตีความ และเห็นแง่คิด ประเด็นที่ซีรีส์ต้องการจะสื่อ

โดยรวม The Sinner ซีซั่น 1 ถือว่าเป็นอีกซีรีส์ชั้นดี ที่คอซีรีส์สืบสวนน่าจะถูกใจไม่น้อย ตัวซีรีส์มีความเป็นฟิล์มนัวร์ ที่สะท้อนเรื่องศาสนา การคุกคามทางเพศออกมาได้อย่างน่าสนใจ และสามารถเปิดตัวนักสืบ แฮร์รี่ แอมโบรส ให้กลายเป็นตัวละครที่คนดูชื่นชอบ และอยากติดตามต่อในซีซั่นต่อไป

สามารถรับชมซีรีส์ The Sinner ทั้ง 4 ซีซั่นได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB, Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/ZEfnpFuzxnE

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

Lulu: A Girl Meets Girl Love Story ซีรีส์ GL จากดินแดนพันเกาะรับปี 2022

                โดยปกติแล้วซีรีส์ที่เราดูมักจะเป็นเกาหลี ที่มีหลายเรื่องติดกระแสเกือบทั่วโลก และซีรีส์ประเทศฟิลิปปินส์ ก็เป็นเนื้อหาที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว จะนำเสนอเรื่องราวที่ค่อนข้างหลากหลาย น่าติดตามไม่น้อย เจาะจงเนื้อหาเรื่องราวความรักทั้งชายหญิง และตอบโจทย์กลุ่ม LGBTQ แม้ว่ารัฐบาลและกฎศาสนาคริสต์ที่ค่อนข้างเข้มงวดกับกลุ่มนี้พอสมควร แต่ซีรีส์เหล่านี้นำเสนอเรื่องราวได้น่าสนใจ และมีมิติที่น่าค้นหามากขึ้น จะต้องมี  Lulu: A Girl Meets Girl Love Story เป็นซีรีส์ฟิลิปปินส์ที่เป็นความรักครบรสชาติมากเลยทีเดียว และสามารถหาดูได้ตามช่องทางออนไลน์ได้แล้ว

                ถึงแม้ว่าซีรีส์ Lulu: A Girl Meets Girl Love Story จะไม่ระบุช่องทางติดตามก็ตาม แต่เป็นซีรีส์แกะกล่องใหม่แห่งปี 2022 เพื่อเปิดกว้างโลกแห่งความรักที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเรื่องราวใน Lulu: A Girl Meets Girl Love Story จะเป็นเส้นทางของผู้หญิงสองคนตัดกันเมื่อทั้งคู่อยู่กลางทางแยกส่วนตัว พวกเขาจะพบความรักเมื่อพวกเขาต้องการน้อยที่สุดหรือไม่ แน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องมีนางเอกและพระนางในเรื่อง โซฟี ซึ่งเป็นนางเอก

ในเรื่องจะเป็นคนที่พูดจาฉะฉานและพูดจาโผงผางเพราะความแตกแยกต้องการตัดขาดจากโลกภายนอก หลังจากปิดใช้งานบัญชีโซเชียลมีเดียของเธอแล้ว เธอก็หนีไปที่บ้าน AirBnB ริมชายหาด ซึ่งหมายถึงการฟื้นฟูสภาพจิตใจที่แย่ด้วย แต่ทุกอย่างที่เธอทำกลับกลายเป็นหายนะ อันที่จริง โซฟีเชื่อว่าตลอดระยะเวลา 25 ปีที่เธอดำรงอยู่ เธอไม่ได้ทำอะไรที่ถูกต้องเอาเสียเลย แต่เมื่ออาบีมาถึงบ้านของเธอและเดินเข้าไปในชีวิตของเธอ ทุกอย่างก็รู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด

อาบีเป็นสาวห้าวเนื้อนุ่มอายุ 30 ปี ทำอาหารเก่ง และเป็นนักกีตาร์ในวงดนตรีอินดี้ เธอเป็นคนที่วางแผนชีวิตของเธอไว้ทั้งหมด แต่สำหรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตอาบีได้ออกเดินทางโดยที่เธอแค่อยากจะเป็นไปตามธรรมชาติ นั่นคือวิธีที่เธอสะดุดกับ AirBnB ของโซฟี เมื่อทั้งสองพบกัน หัวใจก็สปาร์คกันเมื่อนั้น หัวใจทั้งโซฟี่และอาบีก็โบยบินและพวกเขาไม่สามารถต้านทานการตกหลุมรักกันได้เลย

                หากใครได้ดูซีรีส์เรื่อง Lulu: A Girl Meets Girl Love Story จะเหมือนได้สัมผัสบรรยากาศดีๆ ริมทะเลที่สวยงามพอสมควร มันช่วยผ่อนคลายได้มากขึ้น และฮีลจิตใจตัวเองได้เมื่อผ่านเรื่องราวแย่ๆ ในชีวิต หากใครได้ติดตาม Lulu: A Girl Meets Girl Love Story แม้ว่าจะไม่ติดกระแสลมบนเหมือนประเทศอื่น แต่ถ้าใครได้ติดตามจะประทับใจกับความรักมากขึ้น เพราะความรักมันไม่มีนิยาม และไม่มีข้อจำกัดทางเพศด้วยเช่นกัน

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window

The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window คือซีรีส์แนวอาชญากรรม สืบสวนสอบสวน ปนคอเมดี้เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ภาพรวมแทบจะไม่ได้โดดเด่นอะไร พลอตมันแทบจะก้อป The Woman in the Window ที่เข้าฉายเมื่อปีที่แล้ว แต่ด้วยความที่ชื่อซีรีส์ที่ยาวจนโดดเด่น และชื่อไทยแบบกวน ๆ ว่า “ลางหลอน ซ่อนมรณะจ๊ะ” ทำให้งานซีรีส์พลอตบ้าน ๆ ที่สร้างสรรค์โดย ไมเคิล เลอห์มาน (ซีรีส์ Jessica Jones) ดูน่าสนใจขึ้นมาในทันที

ซีรีส์จะว่าด้วยเรื่องราวของ แอนนา (คริสเทน เบล) แม่ม่ายสาวที่พึ่งสูญเสียลูกสาวจากฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งเพราะการสูญเสียนี้เองทำให้เธอต้องหย่าจากสามี และกลายเป็นคนติดเหล้าขนาดหนัก แต่กระทั่งวันหนึ่งได้มีครอบครัวใหม่ได้ย้ายเข้ามาในบ้านฝั่งตรงข้ามเธอ ซึ่งภายนอกดูเหมือนครอบครัวนี้จะดูปกติธรรมดาทุกอย่าง จนวันหนึ่ง แอนนา ได้เห็นการฆาตกรรมแฟนสาวของชายในบ้านตรงข้าม แต่ทว่าเมื่อเธอแจ้งตำรวจกลับพบว่าไม่มีศพของหญิงสาวอยู่ในบ้าน และทุกคนกลับเชื่อว่าเธอหลอนไปเอง แอนนา เลยต้องสวมบทเป็นนักสืบจำเป็นเพื่อพิสูจน์ว่าเธอพูดความจริง และหาตัวคนร้ายมาลงโทษ

อย่างที่กล่าวไปในตอนแรก ว่าซีรีส์ชุดนี้มีความคล้ายกับ The Womman in the Window โดยเฉพาะในแง่พลอตเรื่อง ในประมาณ 1-4 Ep. แรก ซีรีส์แทบจะเล่าไปในทิษทางเดียวกัน เพียงแต่ปรับบริบทให้เนื้อหาดูเบาสมองขึ้น มีการใช้ตัวละครเอกที่เป็นหญิงสาวที่จิตใจบอบช้ำมาเป็นจุดสูญกลางของเรื่อง ซึ่งพอตัวเอกเป็ยผู้หญิง ทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีความเป็นผู้หญิงอยู่เยอะ เช่นเดียวกับซีรีส์อย่าง Emily in Palis, Riverdale หรือ Bridgerton ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นการปะทะคารมของผู้หญิง ความต้องการทางเพศของหญิงสาว และวิธีการสอดรู้สอดเห็นแบบแม่บ้าน

แม้ซีรีส์จะพยายามขายความเป็นผู้หญิงไปเยอะมากก็ตาม แต่ก็ยังไม่ทิ้งเสน่ห์ของซีรีส์สืบสวน ด้วยการสร้างตัวละครรอบตัวแอนนา ให้ดูเป็นผู้ต้องสงสัย ให้คนดูได้คาดเดาว่าใครคือคนร้ายที่แท้จริง รวมถึงการดำเนินเรื่องด้วยการค่อย ๆ ผูกโยงเรื่องราว มีพาร์ทตามหาความจริงที่ชวนติดตาม พร้อมการเฉลยตัสคนร้ายที่เหนือการคาดเดา

แต่น่าเสียดายที่ซีรีส์ชุดนี้กลับไม่สามารถนำจุดเด่นของตัวเองมาใช้งานได้คุ้มค่าอย่างที่ควร จนกลายเป็นความไม่สุดสักทางของซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับปมทางจิตใจของ แอนนา ที่ตัวผู้รับบทอย่าง คริสเทน เบล ยังไม่สามารถทำให้คนดูเชื่อในความป่วยของเธอได้ ในขณะที่พาร์ทการสืบสวนก็ยังทำออกมาได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ การผูกปมต่าง ๆ ในซีรีส์ยังไม่สามารถสร้างน้ำหนะกที่สมเหตุสมผลได้ โดยเฉพาะการเฉลยปมในตอนท้ายที่ค่อนข้างดูเหมือนการแถซะมากกว่า

โดยรวม The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window นับว่าเป็นซีรีส์สืบสวน ระทึกขวัญ ที่พอดูเอาสนุกได้อีกเรื่อง ซีรีส์มาพร้อมสูตรสำเร็จของหนัง และซีรีส์แนวนี้ที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่หากใครที่มองหาซีรีส์ขนาดสั้นไว้ดูฆ่าเวลา นี่คืออีกเรื่องที่อยากแนะนำ

สามารถรับชม The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/fuUZCoyoHo4

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Barry season 3

เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาที่สมการรอคอย สำหรับซีรีส์ Barry season 3 ที่หลังจากที่รอนานกว่า 2 ปี โดยครั้งนี้ก็ยังได้ทีมสร้าง และนักแสดงชุดเดิมกลับมาสานต่อเรื่องราวของนักฆ่าหน้านิ่งอีกครั้งนำทีมโดย บิล เฮเดอร์ (It: Chapter 2) ที่รับหน้าที่แสดงนำ กำกับ และอำนวยการสร้าง, ซาราห์ โกลด์เบิร์ก (The Report), เฮนรี่ วิงค์เลอร์ (The French Dispatch) และ สตีเฟน รูต (The Book of Boba Fett)

โดยเรื่องราวในซีซั่นี้จะว่าด้วยเรื่องราวชีวิตของ แบร์รี่ ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อเขาได้ถูก จีน คูซิโน (เฮนรี่ วิงค์เลอร์) ผู้เป็นอาจารย์สอนการแสดงของเขาจับได้ว่า แบร์รี่ คือฆาตกรผู้ฆ่าคนรักของตน ทำให้ตัวแบร์รี่พยายามหาทางปิดปากด้วยการพา จีน ไปแสดงซีรีส์เพื่อหวังเป็นการทดแทน

ในขณะที่ด้าน แซลลี่ (ซาราห์ โกลด์เบิร์ก) คนรักของ แบร์รี่ ก็กำลังประสบความสำเร็จในอาชีพนักแสดง และกำกับซีรีส์เรื่องแรกของตัวเอง แต่ชีวิตของ แบร์รี่ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาใหม่เมื่อ มอนโร (สตีเฟน รูต) อดีตเพื่อนร่วมงานของแบร์รี่ ที่ตอนนี้คือศัตรูคู่แค้น ได้ทำการเอาคืน แบร์รี่ โดยการบอกญาติ และเพื่อนของเหยื่อที่แบร์รี่ฆ่าทุกคน ให้คนเหล่านั้นมาล้างแค้นตัว แบร์รี่ จนนำมาสู่เรื่องวุ่น ๆ ทั้งหมดของซีซั้นนี้

สำหรับซีซั้นนี้เนื้อหาของซีรีส์จะค่อนข้างแตกต่างจากซีซั่นที่ผ่านมา เพราะผู้ชมจะได้เห็นการเติบโตของเหล่าตัวละครแต่ละตัวในด้านต่าง ๆ เช่น แบร์รี่ ในเรื่องนี้เขาต้องมารับผิดชอบต่อการกระทำในอดีตที่ผ่านมา จนชีวิตอยู่ไม่สุขแม้แต่ขณะเดียว ด้าน แซลลี่ ในเรื่องนี้เราจะได้เห็นเธอในพาร์ทคนที่กำลังจะประสบความสำเร็จในชีวิตแต่ก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคใหม่ ๆ ในแบบที่โตขึ้นกว่าเดิม

แน่นอนว่าพอเนื้อหามันเข้มข้น และเติบโตขึ้น ความตลกโบกฮา ความกวนแบบซีซั่นก่อน ๆ อาจลดลงไปพอสมควร แม้ซีรีส์จะยังคงซึ่งมุกตลกร้ายหน้าตาย ที่พอให้ขำเป็นพัก ๆ แต่แก่นของเนื้อหาในแต่ละตอน กลับค่อนข้างดาร์ก และซีเรียสกว่าที่ผ่านมา เราจะได้เห็นมุมที่อ่อนแอ และเดือดดาลของหลายตัวละคร จนบางครั้งถึงกับขำไม่ลง

ด้านฉากแอคชั่นของซีซั่นนี้ก็เรียกว่าค่อนข้างน้อย หากเทียบกับสองซีซั้นก่อน และกระนั้นความสนุกก็ไม่ลดลงเลย ซีรีส์มีวิธีการหาเหตุการณ์ต่าง ๆ มาใส่ให้แต่ละตอนตัวละครต้องรับมือกับปัญหามากมาย มีการกระจายเส้นเรื่องที่ลงตัว จนแทนที่ผู้ชมจะได้เห็นแต่มุมอาชญากรรม ก็ยังจะได้เห็นปมดราม่าของเส้นเรื่องรองอื่น ๆ มาเป็นสีสันให้ซีซั่นนี้

โดยรวม Barry season 3 เรียกได้ว่าเป็นการกลับมาที่สมการรอคอยอย่างยิ่ง ซีรีส์ย้งคงเสน่ห์ของตนเอง ทั้งความตลกร้าย ดราม่า และอาชญากรรมสุดเข้มข้น โดยเพิ่มเติมคือเนื้อหาที่ดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ตอน พร้อมทั้งยังปูทางต่อไปในซีซั่น 4 ได้อย่างงดงาม

สามารถรับชมซีรีส์ Barry ทั้ง 3 ซีซั่นได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Afterparty

ผลงานซีรีส์สืบสวน คอเมดี้ จาก Apple TV+ ที่ได้ทีมผู้สร้าง และนักแสดงที่การันตีความฮาไม่ว่าจะเป็นการได้ คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์ มือเขียนบทจาก The Lego Movie และผู้กำกับจากหนัง 21 – 22 Jump Street มารับหน้าที่สร้างสรรค์ซีรีส์ พร้อมนำแสดงโดย เดฟ ฟรังโก้ (The Disaster Artist), แซม ริชาร์ดสัน (ซีรีส์ Ted Lasso), ไอค์ บารินฮอล์ทซ์ (Moxie), เบน ชวาร์ตซ์ (ซีรีส์ Space Force) และทิฟานี่ แฮดดิช (Keanu)

The Afterparty จะว่าด้วยเรื่องราวโศกนาฎกรรมในค่ำคืนหนึ่ง หลังจากที่เพื่อนเก่าจากมหาลัยได้ทำการกลับมารวมตัวกันในรอบ 10 ปี ที่งานเลี้ยงรุ่น ก่อนที่หลังจากนั้นพวกเขาจะไปปาร์ตี้กันต่อที่บ้านสุดหรูของ เอ็กเซเวียร์ (เดฟ ฟรังโก้) ผู้เป็นดาราฮอลีวูดชื่อดัง และป้อปที่สุดในรุ่น

แต่ทว่าในระหว่างปาร์ตี้ก็ได้เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อเอ็กเซเวียร์ถูกฆาตกรรมโดยการผลักตกตึกของเขา โดยผู้ต้องสงสัยคือกลุ่มอดีตเพื่อนร่วมชั้นของเขาที่ต่างมีอดีตที่ไม่ดีนักกับคนดังผู้นี้ เจ้าหน้าที่นักสืบแดนเนอร์ (ทิฟานี่ แดนเนอร์) เลยต้องรับหน้าที่ในการสืบสวนคดีนี้ด้วยการสอบปากคำเหล่าผู้ต้องสงสัยสำคัญในคดีนี้

ตัวซีรีส์มาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องแบบเดียวกับที่ ไรอัน จอห์นสัน ใช้ใน Knives Out คือการนำเสนอเรื่องราวอาชญากรรมที่ทำออกมาเบาสมอง มากกว่าที่จะมาในโทนฟิล์มนัวร์ และใช้วิธีการนำเสนอการสืบสวนแบบเดียวกับโคนัน คือการโชว์ความฉลาดของนักสืบ การหาตัวคนร้ายในที่ปิดตาย เป็นต้น

ความโดดเด่นของซีรีส์เรื่องนี้คือ การนำเสนอแบบราโชมอน ที่จะใช้ความยาวทั้ง 8 EP. เป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของแต่ละตัวละคร ขณะเดียวกันก็ตัดสลับกับเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่ที่ฉีกแนวก็คือแทนที่ซีรีส์จะนำเสนอฉากเดิม ๆ วนไปวนมาที่เพียงเปลี่ยนมุมมองของตัวละคร

แต่ The Afterparty กลับไปไกลกว่านั้น เพราะทั้ง 8 EP. ของซีรีส์มีโทนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยแต่ละ EP. จะเป็นการล้อเลียนหนังประเภทต่าง ๆ ผ่านคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น โรแมนติก, มิวสิคคัล, แอคชั่น, อนิเมชั่น ไปจนถึงหนังอาชญากรรมฟิล์มนัวร์ ที่เรียกได้ว่านอกจากจะทำให้ความราโชมอน แตกต่างแล้ว ทำให้ตลอด 8 EP. ของซีรีส์ไม่มีตอนไหนที่น่าเบื่อเลย

ไม่ใช่แค่ความฉีกแนวหนังราโชมอนที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดีมาก ๆ แต่อีกหนึ่งส่วนที่ The Afterparty ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กันคือการทำให้ทั้ง 8 EP. ดูมีนัยยะ มีความสำคัญต่อเนื้อหาของซีรีส์ โดยเฉพาะการสะท้อนความสัมพันธ์ของเพื่อนในรูปแบบต่าง ๆ ที่ในเรื่องนี้ค่อนข้างตีความออกมาได้น่าสนใจ และมีบริบทที่สะท้อนสังคมสมัยนี้ได้อย่างสมจริง

แต่กระนั้น ด้วยความที่ซีรีส์ผสมผสานในความเป็นหนังหลากแนว หลากสไตล์ ทำให้พาร์ทสืบสวนของซีรีส์ดูค่อนข้างคร็อปลง ทั้งการสอบปากคำ ที่ทำให้คนดูไม่สามารถโฟกัสที่การหาความจริง แต่เป็นการหันไปเพลิดเพลินกับสไตล์ของตอนนั้น ๆ แต่กระนั้นซีรีส์ก็ยังสามารถคืนฟอร์มได้ในวินาทีท้าย ๆ ในการสามารถเฉลยความจริงออกมาได้ช็อกอารมณ์คนดูไม่น้อย รวมทั้งยังสามารถแสดงความฉลาดของตัวละครออกมาได้อย่างน่าชื่นชม

The Afterparty เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์ที่นำเสนอสไตล์ราโชมอนยุคใหม่ ที่มีความเป็นตัวเอง และมีความร่วมสมัย ใครที่เคยดูหนังอย่าง The Last Duel หรือหนังแนวนี้แล้วรู้สึกว่าฉากซ้ำไปซ้ำมาน่าเบื่อ ซีรีส์เรื่องนี้จะลบทุกคำสบประมาทดังกล่าว และนอกจากความบันเทิงรูปแบบต่าง ๆ ที่จัดเต็มแล้ว ซีรีส์ก็ยังเอาใจคอซีรีส์สืบสวนด้วยพาร์ทหาความจริง ที่ทำออกมาได้เหนือชั้นไม่แพ้กัน

สามารถรับชมซีรีส์ The Afterparty ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/BGG2H3DN_II

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง