Categories
series

รีวิวหนัง No One Gets Out Alive

No One Gets Out Alive อีกหนึ่งงานสยองขวัญสูตรสำเร็จจาก Netflix ที่แม้การเล่าเรื่องจะไม่ใหม่ แต่ความหลอน ความน่ากลัว

ความลึกลับกลับทำออกมาได้ชวนติดตาม โดยเฉพาะตอนจบ ที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ที่ไม่ควรพลาด

เรียกได้ว่าเป็นค่ายที่ทยอยปล่อยหนัง และซีรีส์สยองขวัญ ระทึกขวัญ ออกมาให้ได้ชมกันแบบต่อเนื่องไปแล้ว สำหรับ Netflix ที่แต่ละวีค จะมีหนังแนวนี้ทั้งจากฝั่งเอเชีย และตะวันตกออกมาให้ชมแบบไม่ขาดสาย สำหรับ No One Gets Out Alive คือหนึ่งในงานล่าสุดของสตรีมดัง ผลงานการกำกับเรื่องแรกของ ซานเตียโก เมนกินี เขียนบทโดย จอน โครเกอร์ (The Woman in Black 2: Angel of Death) และ เฟอร์นันดา ค็อปเปล (ซีรีส์ How to Get Away with Murder) ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือของ อดัม เนวิลล์

No One Gets Out Alive
No One Gets Out Alive

ตัวหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ เอมบาร์ (คริสติน่า ร็อดโล) หญิงสาวชาวเม็กซิกัน ที่ได้เดินทางเข้ามาทำงานในอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย โดยเธอได้ไปเช่าอพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งอยู่ ที่นั่นเธอได้พบกับ เรด (มาร์ค เมนชาลา) เจ้าของบ้านมาดโหด ที่มาพร้อมพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งในระหว่างที่ เอมบาร์ อาศัยอยู่ที่อพาร์ทเมนต์แห่งนี้ เธอก็ได้พบกับเหตุการณ์ชวนขนลุกมากมาย จนเมื่อเธอได้พบความจริงทั้งหมดของที่แห่งนี้ มันก็ได้เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล

No One Gets Out Alive
No One Gets Out Alive

No One Gets Out Alive ยังคงเป็นหนัง Gerne แนวสยองขวัญสูตรสำเร็จ ที่มาพร้อมการดำเนินเรื่องที่ไม่ได้แปลกใหม่ หรือหวือหวามาก ตัวหนังดำเนินเรื่องแบบที่พอเดาทิศทางได้ แต่ก็ยังสามารถมอบความบันเทิงให้กับคนดูได้เป็นอย่างดี

No One Gets Out Alive
No One Gets Out Alive

โดยหนังมาพร้อมกับการสร้างเงื่อนไขที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกให้กับตัวละคร ที่ต้องเอาชีวิตรอดจากทั้งชีวิตการงาน และการเอาชีวิตรอดจากสิ่งลี้ลับ ความสนุกของหนังคือการที่คนดูได้ร่วมเอาใจช่วยไปกับตัว เอมบาร์ ที่ต้องเผชิญกับสถาการณ์อันน่าอึดอัดตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งหนังก็ค่อย ๆ ไต่ระดับความสนุก เข้มข้น ไปพร้อม ๆ กับการค่อย ๆ เผยความสยองที่คนดูแทบจะคาดเดาไม่ได้ ว่าจะต้องเผชิญกับอะไรบ้างในตอนจบ ซึ่งขอแนะนำว่าหากยิ่งรู้น้อยกับเรื่องนี้ อาจทำให้คุณประทับใจกับหนังเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น

No One Gets Out Alive
No One Gets Out Alive

ด้านความน่ากลัว สำหรับเรื่องนี้อาจไม่ได้เป็นหนังผีที่ขายฉากตุ้งแช่ หรือความสยดสยองมากนัก ผีในเรื่องนี้ก็จะมาในรูปแบบของร่างคนที่คอยมาทำหน้าที่บอกใบ้เหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งผู้สร้างก็ได้มีการเล่นกับจังหวะการปรากฏตัวของผี ออกมาได้อย่างมีชั้นเขิง ในการสามารถสร้างบรรยากาศที่น่าขนลุก นอกจากนี้หนังยังซ่อนไฮไลท์เด็ดเอาไว้ในช่วงท้าย ที่จะเผยความสยดสยอง ความโหด ที่จะเซอร์ไพรส์คนดู ที่อาจกลายเป็นอีกหนึ่งตอนจบที่น่าจดจำไม่น้อย

ในส่วนของข้อเสียของ No One Gets Out Alive คือความที่หนังมาพร้อมความยาวที่ค่อนข้างจำกัด ด้วยความยาวเพียง 1 ชั่วโมง 27 นาที ทำให้หนังต้องเล่าเรื่องแบบกระชับ รวบรัด จนทำให้ความเข้มข้น หรือดีเทลล์บางอย่างของหนังหายไป โดยเฉพาะการนำเสนอความน่ากลัวของผีในเรื่อง ที่ทำออกมาได้ไม่สุดเท่าที่ควร

No One Gets Out Alive
No One Gets Out Alive

โดยสรุป No One Gets Out Alive เป็นอีกหนึ่งหนังสยองขวัญสูตรสำเร็จ ที่ตัวเรื่องอาจไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หวือหวามาก แต่ด้วยโทนเรื่อง และวิธีการสร้างสรรค์ความน่ากลัวที่มีชั้นเชิง ทำให้หนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นอีกเรื่องที่มีของดีในตัวไม่แพ้หนังสยองขวัญเรื่องอื่น ๆ ใครที่ชอบหนังแนวบ้านผีสิง เนื้อหาสนุก ชวนติดตาม นี่เป็นอีกเรื่องที่อยากแนะนำ

สามารถรับชม No One Gets Out Alive ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

No One Gets Out Alive

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

Categories
series

รีวิวหนัง Freaky

Freaky หนังสยองขวัญ ปนคอเมดี้ จากผู้สร้าง Happy Death Day ที่ผสมผสานระหว่างความโหด และความตลกออกมาได้ลงตัว

กับการแสดงของ วินซ์ วอห์น ในมาดตุ้งติ้ง ที่สร้างสีสันให้หนังได้ตลอดทั้งเรื่อง

Freaky เป็นหนังสยองขวัญ คอเมดี้ ผลงานการสร้างโดย Universal และ Blumhouse Productions ที่กำกับและเขียนบทโดย คริสโตเฟอร์ แลงดอน ที่เคยสร้างผลงานสุดโด่งดังอย่าง Happy Death Day โดยครั้งนี้เขาก็ยังมาในหนังสไตล์ไล่เชือด ที่มาพร้อมพลอตที่แปลก แหวกแนวไม่ซ้ำใคร

Freaky
Freaky

โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ มิลลี่ (แคทเทอรีน นิวตัน) หญิงสาวสุดแสนธรรมดา และมักจะโดนรังแกจากเพื่อน ๆ ในโรงเรียน จนกระทั่งในคืนหนึ่ง มิลลี่ ก็ได้พบกับ ‘นักเชือด’ (วินช์ วอห์น) ฆาตกรโรคจิตที่กำลังออกอาละวาด ซึ่งในคืนนั้น มิลลี่ ถูก ‘นักเชือด’ ตามล่าเอาชีวิต แต่ในนาทีความเป็นความตายนั่นเองก็ได้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้น เมื่อวิญญาณของ มิลลี่ และ ‘นักเชือด’ เกิดสลับร่างกัน หนทางเดียวที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้คือ มิลลี่ และเพื่อน ๆ จะต้องช่วยกันแก้คำสาปภายใน 24 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นร่างของเธอและ ‘นักเชือด’ จะไม่สามารถกลับคืนร่างเดิมได้อีก

Freaky
Freaky

Freaky ยังคงเป็นหนังสยองขวัญ สไตล์ คริสโตเฟอร์ แลงดอน ที่เปี่ยมไปด้วยลายเซ็นที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอผ่านตัวเอกที่เป็นผู้หญิง การเล่าเรื่องแบบเคารพหนังไล่เชือดยุค 80 และความบันเทิงที่แปลกใหม่แบบ Blumhouse ที่เมื่อนำมาผสมกัน มันเลยได้เป็นหนังที่ดูสนุกครบรสอีกเรื่อง

Freaky
Freaky

ความพิเศษของ Freaky คือการผสมผสานระหว่างหนัง Coming-of-Age และหนังไล่เชือดออกมาได้ค่อนข้างลงตัว โดยด้านความเป็นวัยรุ่นของหนังเรื่องนี้ ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา มีมุกตลก เคล้าดราม่า ที่ทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับตัวละครมิลลี่ ในขณะเดียวกันพาร์ทสยองขวัญ ระทึกขวัญ หนังก็ทำออกมาได้ชวนติดตาม โดยเฉพาะความโหด ความรุนแรง ที่ยังจัดเต็มสมกับความเป็นหนังไล่เชือดโดยแท้จริง

Freaky
Freaky

ในด้านข้อเสียของ Freaky คือความไม่สมูธในการเล่าเรื่องบางช่วง เมื่อหนังพยายามขายคอเมดี้ มากเกินไปทำให้บางช่วงของหนังขาดความตื่นเต้น ความระทึกอย่างที่ควร โดยเฉพาะพาร์ทของการไล่เชือด ที่มีน้อยนิด และยังทำออกมาไม่สุดเท่าที่ควร รวมทั้งมิติตัวละคร ‘นักเชือด’ ที่หนังแทบจะไม่ได้ให้ความสำคัญ และพูดถึงเท่าที่ควร ทำให้ท้ายที่สุด ‘นักเชือด’ ในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างจากฆาตกรโรคจิตทั่วไป ที่พร้อมมาไล่ล่า และถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย

โดยรวม Freaky นับว่าเป็นอีกผลงานสยองขวัญโดย คริสโตเฟอร์ แลงดอน ที่ไม่ได้มีดีแค่ความโหด แต่หนังยังพูดถึงชีวิตวัยรุ่น การก้าวผ่านพ้นวัย ที่จะทำให้การไล่เชือดในเรื่องนี้เปี่ยมไปด้วยมิติ และสีสัน ที่จะทำให้คุณทั้งลุ้น ทั้งเสียว สยอง และขำกลิ้งไปในเวลาเดียวกัน

สามารถรับชม Freaky ได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

Categories
series

รีวิวหนัง Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings

Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ฮีโร่ Marvel ที่มาพร้อมการนำเสนอที่แปลกตา ด้วยความเป็นเอเชียที่ใส่มาแบบจัดเต็ม

และแอคชั่นสไตล์สุดมันส์ที่ใส่มาตลอดทั้งเรื่อง เหลียงเฉาเหว่ย คืออีกหนึ่งวายร้ายที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ MCU

ผลงานฮีโร่สัญชาติเอเชียเรื่องแรกของ Marvel ที่เป็นเหมือนหนังเปิดจักรวาล Phase 4 อย่างเป็นทางการ (หากไม่นับซีรีส์ที่ฉายบน Disney+) โดยหนังจะว่าด้วยเรื่องราวของ แชงชิ (ซิมู หลิว) ชายหนุ่มชาวจีน ที่ได้มาเติบโตที่อเมริกา โดยการใช้ชีวิตเป็นพนักงานจอดรถในโรงแรม จนกระทั่งวันหนึ่ง แชงชิ

ได้ถูกจู่โจมโดยกลุ่มคนที่เป็นลูกน้องของ เหวินหวู่ (เหลียงเฉาเหว่ย) พ่อของเขาที่ได้ส่งคนมาตามล่า เพื่อหวังขโมยสร้อยคอของเขา ด้าน แชงชิ ได้พบว่า เหวินหวู่ ได้กำลังวางแผนร้ายบางอย่าง เขาเลยได้เดินทางไปยังประเทศจีนเพื่อตามหา เซียหลิง (เหมิงเอ่อร์ จาง) น้องสาวของเขาที่ไม่ได้เจอหน้ามานาน เพื่อร่วมกันหยุดยั้งแผนร้ายของเหวินหวู่

Shang Chi and the Legend of the Ten Rings
Shang Chi and the Legend of the Ten Rings

Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings เรียกได้ว่าเป็นงานของ Marvel ที่มีความแตกต่าง และสไตล์เฉพาะตัวที่ชัดเจนมาก ๆ เช่นเดียวกับที่เคยทำไว้ใน Captain America: The Winter Soldier และ Black Panther ในเรื่องนี้หนังได้มีการใส่ความเป็นเอเชียเข้าไปในหนังแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ภาษาจีน ปนอังกฤษในระหว่างเรื่อง วัฒนธรรมของคนเอเชีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคารพหนังกำลังภายในสมัยก่อน ซึ่งหนังก็ได้เล่นกับองค์ประกอบแบบเอเชียเหล่านี้จนแทบจะไม่เหลือกลิ่นอายของหนัง Marvel ที่เราคุ้นเคย

Shang Chi and the Legend of the Ten Rings
Shang Chi and the Legend of the Ten Rings

ความสนุกของหนังเรื่องนี้ก็ได้เปลี่ยนจากเดิมที่หนังฮีโร่จะพูดถึงตัวละครที่ค้นพบพลัง และค่อย ๆ กลายเป็นฮีโร่ แต่ใน Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings หนังเล่าในรูปแบบที่แตกต่างกว่านั้น ด้วยการเป็นหนังพลอตแนวล้างแค้น ผสมโรแมนติก โดยจะมีการวางปมบางอย่างในจิตใจของตัวละคร จากนั้นหนังก็จะค่อย ๆ เผยความลับทีละอย่าง ๆ ที่นำไปสู่ความพีคในตอนท้าย

Shang Chi and the Legend of the Ten Rings
Shang Chi and the Legend of the Ten Rings

ในส่วนของฉากแอคชั่น สำหรับเรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญก็ว่าได้ เพราะในเรื่องนี้หนังได้เล่นกับลีลาการบู๊แบบกังฟู ที่ผสมผสานกับงานโปรดักชั่นยักษ์ใหญ่สไตล์ Marvel ทำให้ทุกครั้งที่ได้เห็นลีลาการบู๊ของตัวเอก คนดูจะได้เห็นฉากบู๊สุดพลิ้วไหว และการเล่นมุมกล้องที่หวือหวา พร้อมทั้งการออกแบบงานสร้างสุดอลัง จนต้องขอชื่นชม และยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนัง Marvel ที่มีฉากแอคชั่นยอดเยี่ยมที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยมีมา

Shang Chi and the Legend of the Ten Rings
Shang Chi and the Legend of the Ten Rings

ในด้านการแสดง ซิมู หลิว ได้สามารถพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเขาสามารถเป็นฮีโร่คนใหม่ของ MCU ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าตัวบทจะไม่ได้แปลกใหม่ และท้าทายมาก แต่ด้วยบุคลิกท่าทาง และลีลาการบู๊ที่เป็นธรรมชาติ ทำให้เราอยากเห็นเขาในบทนี้อีกบนจักรวาล MCU ในอนาคต แต่ตัวละครที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ เหวินหวู ที่รับบทโดย เหลียงเฉาเหว่ย ที่เรียกได้ว่าเป็นบทบาทวายร้ายที่ดีงามที่สุดเท่าที่ Marvel เคยมี เพราะตัวละครนี้ ไม่ได้มีแค่ด้านมืด หรือเป็นตัวร้ายที่มาเพื่อเสริมให้เรื่องสมบูรณ์เท่านั้น แต่บทเหวินหวู่ ในเรื่องมีฐานะไม่ต่างจากตัวเอก ที่เปี่ยมไปด้วยมิติ และเสน่ห์ที่น่าจดจำ ซึ่ง เหลียงเฉาเหว่ย ก็ได้ถ่ายทอดบทบาทวายร้ายออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งพาร์ทดราม่า ไปจนถึงพาร์ทแอคชั่นสุดเท่ ที่สามารถสะกดคนดูได้อยู่หมัด

Shang Chi and the Legend of the Ten Rings
Shang Chi and the Legend of the Ten Rings

ในด้านของข้อเสีย หนังอาจมีจุดด้อยอยู่บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามสไตล์ของหนัง Marvel คือการใช้งานตัวละครบางตัวได้ไม่คุ้มค่าเท่าที่ควร ทั้ง ๆ ที่มีการปูบทออกมาได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะตัวละครของ มิเชล โหยว ที่หนังให้พื้นที่การแสดงของเธอเพียงน้อยนิด นอกจากนี้จุดพลิกผันบางช่วงหนังก็ทำออกมาแบบรวบรัด จนการกระทำของตัวละครขาดน้ำหนักที่เพียงพอ แต่กระนั้นก็ยังถือว่าเป็นข้อเสียที่ไม่ได้ส่งผลต่อเนื้อหาหลักเท่าไหร่นัก

Shang Chi and the Legend of the Ten Rings
Shang Chi and the Legend of the Ten Rings

โดยรวม Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ถือว่าเป็นหนังจาก MCU ที่มาพร้อมความแตกต่าง แปลกใหม่ ที่น่าจดจำมาก ๆ อีกเรื่องก็ว่าได้ หนังมีการเล่นกับความเป็นเอเชีย ความเป็นหนังกำลังภายในได้อย่างคุ้มค่า โดยเฉพาะฉากแอคชั่นแบบกังฟู ที่ดูเพลิน ดูสนุก ชวนตื่นตาตื่นใจ เรียกได้ว่าเป็นการเปิดตัวฮีโร่คนใหม่ของ Marvel ที่คุ้มค่าการรอคอยเป็นอย่างยิ่ง

สามารถรับชม Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

Shang-Chi and the Legend of the Ten Rings

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Cr.ภาพ: IMDB, Rotten Tomatoes

Categories
series

รีวิวหนัง In The Heights

In The Heights มิวสิคัลน้ำดีแห่งปี 2021 ที่จัดเต็มด้วยเพลงเพราะ

งานโปรดักชั่นสุดตระการตา พร้อมประเด็นการทำตามความฝันที่ชวนตราตรึงใจ

อีกหนึ่งหนังมิวสิคคัล น้ำดีประจำปี 2021 นี้ ที่เดิมทีมีกำหนดว่าจะฉายโรงในไทย แต่เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด 19 ทำให้ค่ายต้องยอมปล่อยหนังจำหน่ายแบบโฮมเธียเตอร์ และฉายบนสตรีม HBO GO

in the heights
in the heights

โดย In The Heights เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากละครบรอดเวย์ของ ลิน-มานูเอล มิรันดา ที่จะว่าด้วยชีวิตของผู้คนในเมือง วอชิงตัน ไฮท์ ย่านถนนหมายเลข 181 สถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่มีความฝัน ความรัก และมิตรภาพที่แสนอบอุ่น และเคล้าไปด้วยเสียงดนตรี

ซึ่งหนังจะนำเสนอผ่านตัวละคร อุสนาวี (แอนโธนี่ รามอส) ชายผู้เป็นเจ้าของร้านขายของชำเล็ก ๆ ที่มีความฝันว่าจะเก็บเงินย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่ดีกว่านี้ และเมื่อเขาได้พบกับ วาเนสซ่า (มาเรสซ่า บาร์เรรา) หญิงสาวที่เติบโตจากย่านนี้ แต่ต้องกลับมายังบ้านเกิดเพราะมีปัญหากับมหาวิทยาลัย ซึ่งการกลับมาพบกันของทั้งสองนี้ก็ได้นำมาสู่เรื่องราวมากมายที่สุดแสนประทับใจในย่านเล็ก ๆ นี้

in the heights
in the heights

In The Heights เรียกได้ว่าเป็นหนังมิวสิคคัล ที่เปี่ยมไปด้วยลีลา และความทะเยอทะยานในการเล่าเรื่องที่สุดเรื่องหนึ่งก็ว่าได้ แน่นอนว่าจุดขายของหนังเรื่องนี้คือเพลง และการเต้นของทีมนักแสดงนำ รวมถึงนักแสดงตัวประกอบ ซึ่งในหนังเรื่องนี้สามารถนำเสนอบทเพลง และการแสดง ออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่ อลังการ โดยหนังสามารถใช้ประโยชน์จากองค์ประกอบต่าง ๆ ของหนังมาเป็นตัวเสริมในการร้องรำทำเพลงได้อย่างมีชั้นเชิง รวมทั้งการใช้ตัวประกอบที่เป็นนักเต้น มาร่วมสร้างสีสันให้หนังตลอดทั้งเรื่อง จนทำให้ราวกับว่านี่คือการแสดงละครเวที

in the heights
in the heights

ด้านตัวเพลงในเรื่องนี้ก็มีความหลากหลายแนวผสมผสานกับทั้งเพลงคันทรี่ ป้อป และแร้ป ซึ่งเพลงในหนังเรื่องนี้ก็มีบทบาทกว่า 70% ของหนัง และมันสามารถทำหน้าที่ในการมอบความบันเทิงให้หนังได้เป็นอย่างดี ในบางช่วงของหนัง ก็ได้มีการนำเพลงมาใช้งานแทนบทพูดบางช่วง และมีพาร์ทดราม่า โรแมนติกที่ชวนตราตรึงใจ ทำให้การแสดงออกของนักแสดงออกมาดูงดงามมีเสน่ห์มากกว่าหนังเรื่องอื่น ๆ

in the heights
in the heights

นอกเหนือจากเรื่องเพลงแล้ว In The Heights ยังเป็นหนังที่สามารถนำเสนอประเด็นเรื่องชนชั้น สังคม ไปจนถึงปัจเจกบุคคล ออกมาได้อย่างมีมิติ หนังสามารถทำให้ย่านถนนหมายเลข 181 กลายเป็นอีกตัวละครเอกของเรื่อง รวมทั้งนำเสนอความสัมพันธ์ในรูปแบบต่าง ๆ ของตัวละครออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำเสนอความฝันของแต่ละตัวละครที่แตกต่างกันไป ที่เป็นส่วนที่ทำให้ดราม่าของหนังมีความแข็งแรง และทำให้แต่ละเส้นเรื่องมีความน่าติดตาม น่าเอาใจช่วยไปจนจบเรื่อง

โดยรวม In The Heights นับว่าเป็นหนังมิวสิคคัลน้ำดีอีกเรื่อง ที่นาน ๆ ที จะมีมาให้ได้ชมกัน หนังมาพร้อมเพลงที่ไพเพราะ และงานโปรดักชั่นที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนั้นยังมีประเด็นในด้านสังคม การเดินตามความฝัน ที่ชวนติดตาม ใครที่กำลังมองหาหนังสักเรื่องที่จะมาเติมพลังใจ ในการเดินตามความฝัน นี่เป็นอีกเรื่องทีอยากแนะนำ

สามารถรับชม In the Heights ได้แล้ววันนี้ที่ HBO GO

In The Heights

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Cr.ภาพ : Rotten Tomatoes