Categories
series

รีวิวซีรีส์ Mask Girl: ซีรีส์อาชญากรรม ระทึกขวัญ

Mask Girl คือผลงานซีรีส์แนว อาชญากรรม ระทึกขวัญ จากเกาหลี ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูน ตัวซีรีส์จะว่าด้วยเรื่องราวของ คิมโมมิ หญิงสาวที่เมื่อวัยเด็กเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นดารา และเป็นคนที่มอบความสุขให้ทุกคน แต่ทว่าเมื่อเติบโตขึ้น โมมิ ก็ได้พบว่าหน้าตาของเธอค่อนข้างดูธรรมดา และไม่ได้สวยงามแบบพิมพ์นิยม ทำให้โมมิ ค่อยๆ ถูกเมินจากแสงสี และกลายเป็นคนธรรมดาสามัญในท้ายที่สุด

จนกระทั่ง โมมิ ได้สร้างอีกตัวตนขึ้นมาในชื่อว่า Mask Girl ด้วยการที่เธอเลือกสวมหน้ากาก และเป็นเนตไอด้อลสายเซ้กซี่ จนมีผู้คนมาสนใจเธอ แต่ทว่าชื่อเสียงของตัวตนนี้ของเธอกลับนำพาให้เธอพบกับเรื่องไม่คาดฝันมากมาย จนนำมาสู่การฆาตกรรมนองเลือด ที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอ และคนรอบข้างไปตลอดกาล

Mask Girl เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์เกาหลีที่มาพร้อมสไตล์การนำเสนอที่ไม่ค่อยเห็นได้บ่อยนัก โดยซีรีส์จะมาพร้อมกับความยาว 7 ตอน รูปแบบการเล่าเรื่องจะถูกแบ่งการนำเสนอ ในแต่ละตอนจะเล่าผ่านมุมมองของแต่ละตัวละคร เหมือนหนัง Rashomon พร้อมทั้งการเล่าเรื่องที่ผสมสานระหว่าง ดราม่า คอเมดี้ สืบสวนสอบสวน และอาชญากรรม ได้อย่างลงตัว

จุดเด่นของ Mask Girl คือการเลือกประเด็นในการนำเสนอ หนังหยิบเรื่อง Beauty Standard ของสังคมเกาหลีในปัจจุบัน มานำเสนอ เพื่อเปรียบเทียบถึงโอกาสชีวิตของคนที่หน้าตาดี และคนหน้าตาไม่ดี นอกจากนี้ยังมีประเด็นการกดขี่ของสังคมที่ชายเป็นใหญ่ ในขณะที่ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือ และยังมีการสอดแทรกประเด็นที่เรามักเห็นในหนังเกาหลีส่วนใหญ่อย่างเรื่องการรังแกในโรงเรียน ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกสอดแทรกในซีรีส์ผ่านชีวิตของตัวละครแต่ละตัวในเรื่อง ที่ผูกโยงกันเป็นเรื่องราวเดียวในเรื่อง

ตัวซีรีส์ค่อนข้างมีเนื้อหาที่แรงกว่าซีรีส์เกาหลีทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรง คำหยาบ และพฤติกรรมของตัวละคร ที่บางฉากดูแล้วอาจสะเทือนอารมณ์คนดูได้ไม่น้อย แต่ด้วยความสมจริงของเนื้อหานี้เองที่ทำให้ซีรีส์สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม 

ในช่วง 4 ตอนแรกของซีรีส์ค่อนข้างทำได้อย่างเข้มข้น มีความเป็นหนังอาชญากรรมที่ทั้งดาร์ก ทั้งตลก และนำเสนอแต่ละตัวละครหลักในเรื่องได้อย่างมีมิติที่อยากให้คนดูอยากร่วมเอาใจช่วย และติดตามต่อไป ก่อนที่เหตุการณ์ในเรื่องจะค่อยๆ ปานปลาย สู่เหตุการณ์ใน 3 ตอนท้าย ที่ค่อนข้างฉีกจากพาร์ทแรกโดยสิ้นเชิง แต่ถึงกระนั้นซีรีส์ก็หาจุดจบของเรื่องราวได้อย่างสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น

การแสดงในเรื่องนี้ ต้องขอชื่นชม ยอมฮเยรัน ที่รับบทเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง ซึ่งบทบาทของเธอมีทั้งบทที่ดาร์กขั้นสุด และมีพาร์ทดราม่าที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ขั้นสุด ซึ่งเธอก็สามารถนำเสนอบทบาทนี้ได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ จนกลายเป็นบทบาทที่โดดเด่น และน่าจดจำในซีรีส์เรื่องนี้ก็ว่าได้

โดยรวม Mask Girl คือซีรีส์เกาหลีที่ผสมผสานระหว่างความเป็น ดราม่า อาชญากรรม และระทึกขวัญ ได้อย่างลงตัว ซีรีส์มีความสนุกที่ครบรส และสามารถสะท้อนภาพการใช้ชีวิตในสังคมยุคนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา แบบที่ดูจบแล้วผู้ชมได้เกิดบทเรียน และข้อคิดบางอย่างจากโศกนาฎกรรมที่เกิดในเรื่อง

สามารถรับชมซีรีส์ Mask Girl ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: HanCinema

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

How to Become a Cult Leader: ซีรีส์สารคดี

ผลงานซีรีส์สารคดีผลงานจากทีมผู้สร้าง How to Become a Tyrant ที่ในครั้งนี้ยังได้ ปีเตอร์ ดิงค์เลจ (ซีรีส์ Games of Thrones) กลับมารับหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่อง ตามชื่อเรื่องเลย คือในครั้งนี้เปลี่ยนจากการเล่าเรื่องของประวัติศาสตร์เผด็จการ สู่การเล่าเรื่องของเหล่าเจ้าลัทธิอื้อฉาวแทน

How to Become a Tyrant จะเป็นการพูดถึงเรื่องราวของ 6 ผู้นำลัทธิ ได้แก่ ชาร์ลส์ แมนสัน, จิม โจนส์, ไฮมี โกเมซ, มาร์แชล & บอนนี่, โชโก อาซาฮาระ และ มูนซองมยอง ที่ล้วนแต่เป็นเจ้าลัทธิที่สร้างชื่อเสียงอื้อฉาวในช่วง 1970 และบางลัทธิยังสร้างอิทธิพลมาจนทุกทุกวันนี้ ซีรีส์จะพาทุกคนไปพบกับประวัติของการก่อสร้างลัทธิ และวิธีการชักนำผู้คนของคนเหล่านี้ ว่าทำอย่างไรให้มีผู้คนคล้อยตาม

ตัวซีรีส์ How to Become a Cult Leader ยังคงมาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องเหมือน How to Become a Tyrant คือการเล่าเรื่องที่ให้อารมณ์เหมือนคนดูกำลังอ่านหนังสือแนว How to ผสมประวัติศาสตร์ มีการนำเสนอที่จิกกัดผ่านบทพูด และการตัดต่อ โดยเฉพาะจุดเด่นของซีรีส์ที่ยังคงเป็นงานอนิเมชั่นที่ใช้ประกอบการเล่าเรื่อง ที่ช่วยให้คนดูเห็นภาพเหตุการณ์ชัดเจนตัดสลับกับฟุตเทจจริง

ในด้านเนื้อหาซีรีส์ทำได้ค่อนข้างดี มีข้อมูลทั้งที่คนส่วนใหญ่พอรู้อยู่แล้ว และข้อมูลในรูปแบบที่คุณอาจไม่เคยได้ยินที่ไหน โดยซีรีส์ได้เหล่านักจิตวิทยา นักเขียน และคนที่เป็นอดีตสมาชิกลัทธิ มาร่วมให้สัมภาษณ์ ซึ่งแต่ละคนได้มอบข้อมูลที่แตกต่างกัน ที่น่าชื่นชมคือการเล่าแบบ How to ที่มีการวิเคราะห์ จิตใจและวิธีการของเจ้าลัทธิที่มอบสาระแบบศาสตร์จิตวิทยา ที่ถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจมาก

สำหรับตอนที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ ของซีรีส์ชุดนี้คือ จิม โจนส์ เจ้าลัทธิแห่งโจนส์ทาวน์ และ โชโก อาซาฮาระ เจ้าลัทธิแห่งโอมชินริเกียว ที่เดิมทีเรื่องจริงของทั้งสองลัทธิก็เต็มไปด้วยโศกนาฎกรรมที่น่าสะพรึง และเมื่อซีรีส์นำมาถ่ายทอดผ่านทั้งอนิเมชั่น และฟุตเทจจริง ทำให้เนื้อหาทั้งสองตอนที่มีความน่ากลัว และเข้มข้นมากๆ

ในส่วนของข้อเสียของ How to Become a Cult Leader คือการที่ซีรีส์พยายามทำตามสูตร How to Become a Tyrant มากเกินไป จนทำให้ซีรีส์ชุดนี้ขาดความแปลกใหม่ และยังไม่สามารถเล่าเรื่องได้ดีเท่ากับเรื่องก่อนหน้า หลายตอนซีรีส์เล่าออกมาอย่างรวบรัด มีตอนจบที่ห้วนเกินไป จนผู้ชมได้สาระเรื่องราวไม่ครบอย่างที่ควร

โดยรวม How to Become a Cult Leader ถือว่าเป็นซีรีส์สารคดี ที่ดูง่าย ดูสนุก แบบพอเพลินๆ อาจไม่ได้มีสาระ เนื้อหาที่ลึกล้ำอะไรมาก แต่หากใครที่สนใจเรื่องของลัทธิ หรือยังชื่นชอบการเล่าเรื่องจาก How to Become a Tyrant เรื่องนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม How to Become a Cult Leader ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Sinner season 4: บทสรุปของหนึ่งในซีรีส์สืบสวนน้ำดี

ซีซั่นที่ 4 ของซีรีส์ชุด The Sinner ซึ่งถือว่าเป็นซีซั่นสุดท้ายของซีรีส์สืบสวนชุดนี้ โดยในครั้งนี้ซีรีส์จะเล่าเหตุการณ์หลังจากซีซั่นก่อน หลังจากที่ แฮร์รี่ แอมโบรส (บิล พูลแมน) ได้เกษียณจากอาชีพตำรวจ และได้เดินทางไปพักผ่อน ณ เกาะแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้พบกับคดีปริศนาครั้งใหม่ของการหายตัวไปของหญิงสาวคนหนึ่ง ทำให้เขาต้องร่วมมือกับตำรวจของเกาะแห่งนั้นเพื่อตามหาตัวหญิงสาว จนนำมาสู่การพบความจริงอันดำมืดที่เกาะแห่งนี้ซ่อนเอาไว้

ในซีซั่นนี้ยังคงมาพร้อมพลอตและธีมเรื่องตามสไตล์ของ The Sinner เหมือนเดิม ที่จะพูดถึงคดีปริศนา ที่เกี่ยวข้องกับปมปัญหาทางจิตใจ และด้านมืดของมนุษย์ ในซีซั่นนี้ซีรีส์มาพร้อมการปูเรื่องในบริบทที่แตกต่างจากซีซั่นก่อนๆ ด้วยสถานที่ที่เล่าบนพื้นที่ใหม่ ในขณะที่ตัวละคร แฮร์รี่ กลับมาพร้อมบาดแผลในใจ และเปลี่ยนบทบาทจากตำรวจ เป็นเพียงชายชราที่โหยหาการสืบสวนอีกครั้ง

พาร์ทสืบสวนในซีซั่นนี้ทำออกมาได้อย่างสนุกเข้มข้นเหมือนเดิม ครึ่งแรกซีรีส์ปูเรื่องออกมาได้อย่างน่าสนใจ เต็มไปด้วยปมปริศนามากมายที่คนดูคาดเดาไม่ได้ว่าเนื้อหาจะไปทางไหน ทำให้ตลอด 4 ตอนแรกของซีรีส์เต็มไปด้วยความซับซ้อนที่น่าติดตาม ก่อนที่ 4 ตอนหลังของซีรีส์จะค่อยๆ เผยความลับทีละน้อยๆ ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยการเฉลยความจริงอันหักมุม ยังเต็มไปด้วยความลุ้นระทึกแบบที่ไม่เคยมีในซีซั่นที่ผ่านมา

ด้านพาร์ทดราม่าในซีซั่นนี้ทำออกมาได้ดีขึ้นไม่แพ้กัน เพราะผู้ชมจะได้เห็นด้านที่อ่อนแอ และปัญหาทางจิตใจของ แอมโบรส ที่ต้องเผขิญกับวิกฤติของคนวัยเกษียณ นอกจากนี้เรื่องราวของตัวเหยื่อในซีซั่นนี้ ก็มาพร้อมปมที่น่าค้นหา น่าติดตาม ซึ่งสามารถผูกโยงเรื่องราวเข้ากับพาร์ทสืบสวนได้อย่างลงตัว

สำหรับส่วนที่น่าเสียดายของซีซั่นนี้คือการที่ซีรีส์ค่อนข้างมีเนื้อหาช่วงท้ายที่ดรอปลงไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ซีรีส์เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่น่าจะสามารถปูไปสู่เหตุการณ์ที่พีค และเล่นใหญ่ได้มากกว่านี้ แต่ซีรีส์กลับขายพาร์ทดราม่าเป็นหลัก จนนำมาสู่บทสรุปที่ดูธรรมดา และไม่ได้ทรงพลังอย่างที่ควรเท่าไหร่

โดยภาพรวม The Sinner ถือว่าเป็นบทสรุปของซีรีส์สืบสวนน้ำดีอีกเรื่องจาก Netflix ที่ยังรักษามาตรฐานของซีซั่นที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ตัวซีรีส์ยังเล่นกับปมปริศนาที่ลึกลับ ซับซ้อนน่าติดตาม และแตกต่างจากซีซั่นที่ผ่านมา นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่หากใครเป็นคอซีรีส์สืบสวนไม่ควรพลาดจะต้องหลงรัก

สามารถรับชมซีรีส์ The Sinner ทั้ง 4 ซีซั่นได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Delete season 1: ซีรีส์ไทยพลอตสุดล้ำ สามารถเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม

ผลงานซีรีส์ไทยเรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่เป็นการร่วมสร้างกับ GDH กำกับ และร่วมเขียนบทโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ (Homestay) พร้อมได้ทีมนักแสดงไทยหน้าใหม่มากฝีมือมาร่วมแสดงนำ ไม่ว่าจะเป็น ณัฏฐ์ กิจจริต (Appwar แอปชนแอป), ฟ้า-ษริกา สารทศิลป์ศุภา (ขุนพันธ์ 3), ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ (One for the Road), ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง (Hunger) และ ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม (แสงกระสือ 2)

เรื่องราวของ Delete จะว่าด้วย ลิลลี่ (ฟ้า-ษริกา) และ เอม (ณัฏฐ์ กิจจริต) คู่รักที่แอบคบกันอย่างลับๆ เพราะทั้งสองต่างมีคู่ครองอยู่แล้ว โดย ลิลลี่ ได้เป็นภรรยาของ ทู (ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์) ชายหนุ่มเจ้าของฟาร์มม้าผู้ร่ำรวย และมากอิทธิพล ในขณะที่ทั้ง เอม และลิลลี่ กำลังกังวลว่าความลับเรื่องการคบชู้จะถูกเปิดเผย ลิลลี่ ก็ได้รับมือถือปริศนาจากเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่คุณสมบัติมันคือเพียงถ่ายรูปใคร คนๆ นั้นก็จะหายไป ลิลลี่ และเอม เลยวางแผนที่จะใช้มือถือเครื่องนี้ในการลบคนรักของตน แต่ทว่าได้เกิดเหตุไม่คาดฝันที่นำมาสู่การสืบสวน ไล่ล่าสุดเข้มข้น

ความน่าสนใจของซีรีส์ Delete คือการที่ซีรีส์มาพร้อมพลอตที่มีความเฉพาะตัว มีความเป็นหนังไซไฟ ระทึกขวัญ ที่สามารถเล่นกับเงื่อนไขต่างๆ ของตนเองได้อย่างสนุก น่าติดตาม ชวนให้นึกถึงซีรีส์แนว Black Mirror ประกอบกับความที่ซีรีส์ได้อิสระในการสร้างจาก Netflix ที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาได้อย่างเต็มที่ทั้งความดาร์ก และงานโปรดักชันที่มีคุณภาพกว่าซีรีส์ทีวีทั่วไป

ตัวซีรีส์มีการเล่าเรื่องแบบหลายเส้นเรื่อง หลายมุมมอง เพื่อให้บทบาทของแต่ละตัวละครมีความเท่าเทียมกัน โดยผู้ชมจะได้เห็นทั้งมุมที่ดี และมุมมืดของตัวละครแต่ละตัว ทำให้ในเรื่องแทบไม่มีตัวละครไหนที่ขาว หรือดำสนิท ซีรีส์ได้ใช้มือถือที่ทำให้คนหาย เป็นตัวขับเคลื่อนให้ตัวละครเหล่านั้นแสดงด้านมืด หรือด้านดีออกมา

ในด้านการเล่นกับพลอต มือถือที่ทำให้คนหาย ตัวซีรีส์ก็ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ด้วยการสร้างเงื่อนไข และกฎการใช้งานต่างๆ ที่ทำให้การเล่าเรื่องในแต่ละตอนมีชั้นเชิง ชวนลุ้นระทึกมากยิ่งขึ้น แต่จุดที่เป็นปัญหาคือการที่ในเนื้อหาของซีรีส์ไม่ได้หาจุดเฉลยที่มาของมือถือ ราวกับต้องการทิ้งปมไว้สำหรับซีซั่นต่อๆ ไป

นอกจากนี้พาร์ทสืบสวนของซีรีส์ Delete ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่แพ้ซีรีส์ตะวันตก ตัวซีรีส์ได้ปูปมปริศนา และสอดแทรกสิ่งของ หรือหลักฐาน ที่นำพาไปสู่การไขคำตอบที่ชวนตื่นเต้น และหักมุมมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายของเรื่องที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์แบบที่คอหนังสืบสวนน่าจะชื่นชอบไม่น้อย

โดยรวม Delete เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ไทยคุณภาพ ที่มาพร้อมพลอตที่แปลกใหม่ การดำเนินเรื่องที่สนุก ชวนลุ้น จนอยากดู 8 ตอนรวดเดียวจบ พร้อมทั้งปูตอนจบสุดค้างคา ที่ชวนให้คนดูไปลุ้นกันต่อในซีซั่นที่ 2

สามารถรับชมซีรีส์ Delete ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Days: มินิซีรีส์จากญี่ปุ่นที่สร้างจากเหตุการณ์จริงสุดระทึก

ผลงาน Limited Series สัญชาติญี่ปุ่นจาก Netflix ที่ครั้งนี้เป็นงานที่ดัดแปลงจากเหตุการณ์จริงเมื่อปี 2011 ในช่วงที่ญี่ปุ่นได้เกิดเหตุแผนดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุด และได้เกิดสึนามิพัดเข้าชายฝั่งบริเวณโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ซึ่งจากความเสียหายดังกล่าวทำให้เกิดความรั่วไหลของรังสีนิวเคลียร์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่โรงงานไฟฟ้าในขณะนั้นต้องร่วมกันใช้เวลานานกว่า 7 วันหาทางยับยั้งความเสียหานครั้งนี้ ที่อาจส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นเชอร์โนบอลแห่งที่สองได้

The Days นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ภัยพิบัติจากญี่ปุ่นที่มาพร้อมงานโปรดักชันระดับเทียบเท่าหนังใหญ่ และการเล่าเรื่องที่เน้นความสมจริงไม่แพ้หนังฮอลีวูด โดยตลอดทั้ง 8 ตอนของซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นการพาคนดูไปสำรวจกับช่วงเวลาทั้ง 7 วันของเจ้าหน้าที่โรงงานไฟฟ้า ที่ต้องทำภารกิจเสียสละเพื่อชาติ อย่างละเอียดผ่านทุกมุมมองที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับปฎิบัตืการณ์, ผู้จัดการโรงงาน ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี

งานโปรดักชันซีรีส์สามารถถ่ายทอดฉากภัยพิบัติออกมาได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากทำภารกิจชวนระทึกในโรงงานไฟฟ้า ที่ทำออกมาได้อย่างละเอียด เก็บทุกดีเทลล์ ชวนให้นึกถึงซีรีส์อย่าง Chernobyle ของ HBO ที่เคยทำให้คนดูเคยหวาดกลัวกับอันตรายของรังสีนิวเคลียร์มาแล้ว ในเรื่องนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

จุดเด่นของซีรีส์ The Days คือวิธีการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยบทสนทนา อละศัพท์วิยาศาสตร์มากมาย แต่ซีรีส์สามารถถ่ายทอดให้คนดูสามารถเข้าใจถึงบริบทของเรื่องได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้การสนทนาในเรื่องยังถ่ายทอดถึงรูปแบบการทำงาน และการรับมือภัยพิบัติของคนญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด รวมถึงสะท้อนอุดมการณ์ความเป็นชาตินิยมของเหล่าตัวละครที่พร้อมเสียสละตนเองเพื่อประเทศชาติ ที่สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้เป็นอย่างดี

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าชื่นชมของซีรีส์ชุดนี้คือการที่ซีรีส์เลือกทีมนักแสดงส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ดาราดัง ที่เพิ่มความสมจริงให้ซีรีส์ชุดนี้มากขึ้นไปอีก ซึ่งทีมนักแสดงทั้งตัวละครหลัก และสมทบต่างก็ถ่ายทอดบทบาทออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับว่าผู้ชมกำลังได้เห็นการทำงานของผู้คนในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

ในด้านข้อเสียของซีรีส์ คือความยาว 8 ตอนที่ค่อนข้างยืดยาวเกินจำเป็นไปพอสมควร แม้ว่าซีรีส์จะพยายามใส่ทุกดีเทลล์ที่ควรมี แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยบทสนทนาที่เน้นด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้คนดูอาจเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมดได้ยาก จนทำให้ระหว่างเรื่องของบางตอนค่อนข้างน่าเบื่อไปบ้าง

อย่างไรก็ตาม The Days ก็นับว่าเป็นซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงของญี่ปุ่น ที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยมไม่แพ้ Chernobyle ซีรีส์สามารถนำเสนอเหตุการณ์ภัยพิบัติผ่านทุกรายละเอียด รวมถึงการมอบบทสรุปที่ชวนจุกอกต่อคนดูได้ไม่น้อย ใครที่ชอบซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริง เนื้อหาเข้มๆ ดาร์กๆ นี่เป็นอีกเรื่องที่ขอแนะนำ

สามารถรับชมซีรีส์ The Days ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Black Mirror season 6: การกลับมาของซีรีส์ Anthology พลอตสุดล้ำ

การกลับมาอีกครั้งของซีรีส์แนว Anthology หรือซีรีส์เนื้อหาจบในตอน ที่โด่งดังที่สุดของ Netflix โดยครั้งนี้ยังคงมาพร้อมการนำเสนอเรื่องราวของไซไฟ และเทคโนโลยี ที่นำมาสู่เหตุการณ์ชวนระทึก หักมุม เหนือการคาดเดามากมาย โดยภายในซีซั่นนี้จะมาพร้อม 5 ตอน 5 เรื่อง ได้แก่

EP.1 Joan Is Awful

ว่าด้วยเรื่องราวของ โจน (แอนนี่ เมอร์ฟี่) หญิงสาวที่ไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป ที่มีชีวิตเทาๆ ทั้งการแอบคุยกับคนรักเก่า, การไล่พนักงานออกอย่างเลือดเย็น แต่ทว่าในวันหนึ่งชีวิตของโจน ก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อเธอพบว่าชีวิตของเธอถูกนำไปสร้างเป็นซีรีส์ลงบนสตรีมมิงชื่อดัง แถมได้ ซัลมา ฮาเยก มารับบทเป็นเธอ จากซีรีส์ดังกล่าว ทำให้โจนสูญเสียความเป็นส่วนตัวไป รวมถึงโดนสังคมตัดสินความพฤติกรรมในซีรีส์ เธอเลยต้องหาทางหยุดยั้งเหตุการณ์นี้ให้ได้

EP.2 Loch Henry

คู่รักวัยรุ่น ที่ได้เดินทางไปยังเมืองบ้านเกิดของฝ่ายชาย โดยทั้งสองมีจุดมุ่งหมายในการถ่ายทำสารคดี True Crime ของคดีดังที่เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ทว่าระหว่างที่พวกเขากำลังถ่ายทำอยู่นั้นเอง ทั้งสองก็ได้พบกับความจริงอันน่าขนลุกที่ไม่มีใครคาดคิด

EP.3 Beyond the Sea

เรื่องราวของสองเจ้าหน้าที่อวกาศ ที่ต้องทำงานอยู่บนยานอวกาศ และใช้หุ่นร่างเสมือนของพวกเขาในการใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัว ผ่านการถอดจิต แต่ทว่าเรื่องหน้าเศร้าก็เกิดขึ้น เมื่อครอบครัวของ เดวิด (จอร์ช ฮาร์เนต) หนึ่งในเจ้าหน้าที่อวกาศ ได้ถูกฆาตกรรมยกบ้านอย่างโหดร้าย ทำให้ คลิฟต์ (แอร่อน พอลล์) ได้เสนอที่จะให้ เดวิด ยืมร่างหุ่นของเขาในการได้สัมผัสชีวิตบนโลกอีกครั้ง แต่การกระทำดังกล่าว ก็นำพามาสู่เหตุการณ์ที่จะเปลี่ยนชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล

EP.4 Mazey Day

เรื่องราวของ ปาปารัซซี่สาว ที่หันกลับมารับงานอีกครั้ง หลังจากที่ลาวงการไปนาน โดยเธอได้ติดตามหาภาพของนักแสดงสาวชื่อดัง ที่มีข่าวลือว่าเธอนั้นกำลังติดยาเสพติดอย่างหนัก และกำลังซุ่มรักษาตัวในที่ห่างไกล แต่ทว่าเมื่อไล่ล่าหาความจริงไปเรื่อยๆ เธอก็ต้องพบกับเรื่องน่าสยดสยองที่ไม่คาดคิดมาก่อน

EP,5 Demon 79

นิด้า (แอนจานา วาซาน) หญิงสาวสัญชาติอินเดึยที่ทำงานเป็นพนักงานร้านเสื้อผ้า ที่ถูกกดดันจากเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้าที่เหยียดเชื้อชาติของเธอ จนกระทั้่งวันหนึ่ง นิด้า ได้ปลดปล่อยคำสาปในเครื่องรางลึกลับ จนทำให้ ปีศาจนาม แกป (ปาปา อิสซีดู) ได้หลุดออกมา พร้อมมอบคำเตือนต่อนาด้าว่า หากเธอไม่ทำการฆ่าคนให้ได้ 3 คน ก่อนวันแรงงาน โลกมนุษย์จะลุกเป็นไฟ

สำหรับภาพรวมของ Black Mirror ซีซั่นนี้อาจไม่ได้เน้นขายธีมเรื่องไซไฟ โลกอนาคตเหมือนที่ผ่านมามากนัก แต่เนื้อหาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความเป็นซีรีส์อาชญากรรม มีการอ้างอิงเหตุการณ์คดีฆาตกรรมจริงๆ มาใช้ในแต่ละตอน พร้อมทั้งยังใส่กลิ่นอายความเป็นหนังสยองขวัญไปเพิ่ม ทำให้แต่ละตอนมีความลุ้นระทึก ความโหด ดิบ ที่ไม่ค่อยได้เห็นในซีรีส์ชุดนี้

ส่วนตอนที่ค่อนข้างน่าประทับใจ คือตอน Joan is Awful ที่เป็นการเปิดซีซั่นได้สมกับความเป็น Black Mirror มากที่สุด ทั้งการเล่นกับความล้ำของเนื้อหา ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นที่น่าสนใจ ใกล้ตัวกับทุกคน นอกจากนี้ยังมีลูกเล่นที่ Netflix ล้อเลียนตัวเองได้อย่างชาญฉลาด เรียกได้ว่าเป็นตอนที่ทั้งสนุก และเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ที่สุดของซีซั่นนี้

โดยรวม Black Mirror ซีซั่น 6 นับว่าเป็นการกลับมาของซีรีส์ Anthology ที่สมการรอคอย ซีรีส์ยังรักษาคุณภาพของแต่ละตอนไว้ได้เป็นอย่างดี แม้ธีมจะฉีกจากเดิมไปบ้างก็ตาม ยิ่งหากใครที่ชื่นชอบซีรีส์อาชญากรรม สืบสวนสอบสวน น่าจะเพลิดเพลินกับหลายตอนในซีซั่นนี้ไม่น้อย

สามารถรับชม Black Mirror season 6 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Black Knight: ซีรีส์เกาหลีขายงานโปรดักชั่นฟอร์มยักษ์

ผลงานซีรีส์ฟอร์มยักษ์จากเกาหลีเรื่องล่าสุดที่เข้าฉายใน Netflix ซึ่งครั้งนี้เป็นซีรีส์แนวดิสโทเปียที่ว่าด้วยโลกในปี 2071 เมื่อโลกได้ถูกดาวหางพุ่งชนจนทำให้ทั้งโลกกลายเป็นทะเลทราย อากาศเต็มไปด้วยฝุ่น ผู้คนต้องใส่หน้ากากเพื่อใช้ชีวิตข้างนอก

หนังจะโฟกัสไปที่ประเทศเกาหลี ที่ได้มีการแบ่งสังคมออกเป็นคนที่อยู่ใต้ดิน ที่สามารถใช้ชีวืตอน่างปลอดภัย สุขสบาย และคนที่ลี้ภัย หรือคนที่ไม่มีที่อยู่ ต้องอาศัยการปล้นหน้ากาก และถังออกซิเจน เพื่อเอาชีวิตรอด อาชีพเดียวที่เป็นความหวังของผู้คนคือคนส่งออกซิเจน ที่คอยนำออกซิเจนไปแจกจ่ายให้คนในทั่วทุกเขตอย่างเท่าเทียม

ความน่าสนใจของ Black Knight คือการเป็นหนึ่งในไม่กี่ซีรีส์เกาหลีที่สามารถใช้คำว่า ฟอร์มยักษ์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ตัวซีรีส์มาพร้อมงานโปรดักชั่นที่เทียบเท่าฮอลลีวูด ด้วยการสร้างโลกอนาคตดิสโทเปียที่เต็มไปด้วยทะเลทราย ออกมาได้อย่างสมจริง ราวกับหนัง Blade Runner 2049 หรือ Mad Max: Fury Road โดยซีรีส์ใส่ใจรายละเอียดในแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการจำลองบรรยากาศของโลกอนาคตที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี และการทำให้คนดูได้เห็นภาพสังคมอนาคต ว่าจะเป็นอย่างไรหากโลกเต็มไปด้วยมลภาวะ

นอกจากการจำลองโลกดิาโทเปียที่ยิ่งใหญ่ สมจริงแล้ว อีกสิ่งที่ซีรีส์ Black Knight สามารถทำออกมาได้ดีมากๆ คือฉากแอ็คชัน ที่ซีรีส์มีมาให้ครบทุกรสชาติ ทั้งฉากยิงกันแบบหูดับตับไหม้ หรือฉากขับรถไล่ล่า และฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่า โดยเฉพาะหากใครที่เป็นแฟนคลับ คิมวูบิน (Our Blues) ในเรื่องนี้จะได้เห็นเขาโชว์ลีลาบู๊ในมาดสุดเท่ ที่พูดน้อยต่อยหนัก และเป็นตัวเอกที่มีความเป็น Anti Hero ที่น่าจดจำมากๆ

ปัญหาของ Black Knight คือด้านบทของซีรีส์ ที่เต็มไปด้วยจุดบอดที่เห็นอย่างชัดเจน ซีรีส์พยายามยัดประเด็นมากมายเข้าไปในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำ ไซไฟ การทดลองมนุษย์ จนทำให้ซีรีส์ไปไม่สุดสักทาง โดยเฉพาะการชูประเด็นเรื่องการเมืองที่ซีรีส์เลือกหยิบมาเล่าแต่ผิวเผิน ทั้งๆ ที่สามารถเล่าได้สุดกว่านี้  รวมทั้งตัวละครในเรื่องที่ขาดมิติ ที่ทำให้คนดูรู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวได้

โดยรวม Black Knight เป็นอีกหนึ่งซีรีส์เกาหลีที่สามารถสะท้อนถึงพัฒนาการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีใต้ได้ดีมากๆ ด้วยโปรดักชันที่ดูดี เก็บทุกรายละเอียดของความเป็นหนังวันสิ้นโลก แม้ด้านบทจะเต็มไปด้วยปัญหา แต่หากใครที่ชอบซีรีส์เน้นดูเอามันส์ เอาบันเทิง นี่เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ Black Knight ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: HanCinema

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Treason: ซีรีส์สายลับ ระทึกขวัญ ที่เล่าเรื่องตามสูตรสำเร็จ

Treason เป็นผลงานซีรีส์สายลับ ระทึกขวัญ เรื่องล่าสุดจาก Netflix สร้างสรรค์โดย แมตต์ เชอร์มาน มือเขียนบทจากหนัง Bridge of Spies ที่ในเรื่องนี้ได้นักแสดงหนุ่มมาแรงเจ้าของบท แดร์เดวิลอย่าง ชาร์ลี ค็อก มารับบทนำ สมทบด้วย ออลก้า คูรี่เลนโค (Black Widow), อูร่า แชปลิน (ซีรีส์ Game of Thrones) และ คลีราน ฮินด์ (Belfast)

เรื่องราวของ Treason จะว่าด้วย อดัม ลอว์เรนซ์ (ชาร์ลี ค็อก) เจ้าหน้าที่ MI6 ที่ได้รับโอกาสทำหน้ารักษาการผู้อำนวยการ เนื่องจาก มาร์ติน แองเจลิส (คลีราย ฮินด์) หัวหน้าผู้ดำรงตำแหน่งนี้ถูกลอบสังหารจนต้องเข้าโรงพยาบาล เมื่อ อดัม เริ่มหาความจริงว่าใครคือคนลงมือ เขาก็พบว่าเป็นฝีมือของ คารา (ออลก้า คูรี่เลนโค) อดีตคนรักของเขาที่เคยร่วมทำภารกิจด้วยกันที่รัสเซีย การกลับมาเจอกันของทั้งคู่ในครั้งนี้นำมาสู่การตามหาความจริง และเอาชีวิตรอดจากองค์กรที่อยู่เบื้องหลังภารกิจนี้

สำหรับ Treason นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์สูตรสำเร็จของ Netflix ที่ทำมาเพื่อเอาใจใครที่ชอบซีรีส์สายลับโดยเฉพาะ โดยเนื้อหาของซีรีส์จะมาพร้อมความยาวเพียง 5 ตอนเท่านั้น ซึ่งตัวผู้สร้างสรรค์อย่าง แมตต์ เชอร์มาน ได้ถ่ายทอดซีรีส์ชุดนี้ให้ออกมามีกลิ่นอายของ Bridge of Spies ที่มีบริบทอยู่ในยุคปัจจุบัน มีการพูดถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่างอเมริกา และรัสเซีย ที่ต่างส่งสายลับเป็นอาวุธในการหาข้อมูล

ความสนุกของ Treason คือการเล่าเรื่องแบบหนังสายลับ ที่ผสมผสานระหว่างความเป็นดราม่า ระทึกขวัญ สืบสวนสอบสวน เข้ากันได้อย่างลงตัว ตลอดทั้งเรื่องของซีรีส์จะเต็มไปด้วยการหักเหลื่ยมเฉือนคมระหว่างสายลับ การค่อย ๆ เผยความจริงให้ผู้ชมได้รู้ทีละน้อย ๆ ที่คาดเดาไม่ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนต่อไป รวมทั้งการหยิบประเด็นการเมืองมาเพิ่มอรรถรสให้ความขัดแย้งในเรื่องให้ดุเดือด เข้มข้นมากขึ้น

นอกจากพาร์ทการประชันฝีมือของสายลับแล้ว ใน Treason ก็ยังมีการใส่ความเป็นรักสามเศร้า และดราม่าครอบครัวเข้าไปด้วย ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งลายเซ็นตามสไตล์ของซีรีส์ Netflix ที่พยายามสร้างอารมณ์ร่วมกันคน แต่ในซีรีส์เรื่องนี้การพยายามเพิ่มดราม่าดังกล่าวถือว่าเป็นทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อนสำคัญของหนัง เพราะด้วยพาร์ทดราม่าที่เข้ามาแทรก ได้เพิมมิติให้กับตัวละคร มีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้พาร์ทสายลับดูดรอปลงไปอย่างน่าเสียดาย

สำหรับการแสดงใครที่ชื่นชอบ ชาร์ลี ค็อก จาก Daredevil น่าจะถูกใจบทบาทของเขาในเรื่องนี้ เพราะแม้จะเป็นบทที่ค่อนข้างต่างกัน แต่ผู้ชมจะยังได้เห็นนักแสดงหนุ่มผู้นี้โชว์ลีลาบู๊เล็ก ๆ พร้อมทั้งยังเป็นบทสายลับที่มีความเท่ สุขุมมาก ๆ ในขณะที่ด้าน ออลก้า คูรี่เลนโค ก็กลับมารับบทนักบู๊ และสายลับหญิงที่อาจไม่ได้ต่างจากบทบาทประจำของเธอนัก แต่ก็ถือว่าเป็นอีกตัวละครที่สร้างสีสันให้ซีรีส์ได้ดีไม่น้อย

โดยรวม Treason เป็นอีกหนึ่งซีรีส์สายลับ ระทึกขวัญ สูตรสำเร็จที่ดูสนุกอีกหนึ่งเรื่อง ที่เต็มไปด้วยการหักเหลี่ยม การใช้ไหวพริบในการต่อสู้ที่ชวนลุ้นในตลอด 5 ตอนของซีรีส์ แม้ว่าจะมีความน่าหงุดหงิดในพาร์ทดราม่าสไตล์ Netflix ไปบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งผลงานที่คอหนังสายลับ อิงการเมือง น่าจะชอบไม่มากก็น้อย

สามารถรับชมซีรีส์ Treason ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
anime

รีวิวการ์ตูน ยัยตัวแสบ แอบน่ารัก อนิเมะรักวัยใส สไตล์อารมณ์ดี

วันนี้เราจะขอพาทุกคนมาอารมณ์ดีไปกับการ์ตูน อนิเมะ เรื่อง ยัยตัวแสบ แอบน่ารัก ที่เห็นแค่ชื่อก็ได้กลิ่นอายของความน่ารักสดใสลอยมาแล้วล่ะ ซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้เหมาะกับทุกเพศทุกวัยเลย เพราะดูเพลินๆ ชวนคลายเครียดได้ดีทีเดียว และยิ่งถ้าหากใครกำลังมองหาการ์ตูนแก้เครียดบอกเลยว่าเรื่องนี้ตอบโจทย์สุดๆ ส่วนรายละเอียดของ อนิเมะ เรื่องนี้จะน่าสนใจขนาดไหนนั้น เรามาอ่านรีวิวไปพร้อมกันเลย

ยัยตัวแสบ แอบน่ารัก

อนิเมะ ยัยตัวแสบ แอบน่ารัก เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

หลักๆ แล้วจะเป็นแนวคอมเมดี้ อารมณ์ดีตัวละครน่ารักสดใสเว่อร์ดูแล้วยิ้มไม่หุบแน่นอน

เนื้อหาโดยส่วนใหญ่จะเป็นฉากที่เล่าเรื่องราวในรั้วโรงเรียนของตัวละคร

เป็นความรักโรแมนติกวัยใส วัยจิ้นสุดๆ จีบกันไปมาจนคนดูเขิลไปด้วยเลย

ทำความรู้จักตัวละคร

• ฮายาเสะ นางาโทโระ นางเอก สาวสวยผิวสี ปกติจะเห็นแต่นางอกขาวๆ แบ๊ว ๆ ใช่ไหมล่ะ แต่เรื่องนี้นางเอกผิวเข้ม มีเขี้ยว นิสัยแสบซน หื่นนิดๆ ฮา คาแรคเตอร์น่าสนใจมากๆ เลยล่ะ

 • นาโอโตะ ฮาชิโอจิ พระเอก หนุ่มหล่อออกแนวเนิร์ดๆ มีนิสัยขี้อาย และขาดความมั่นใจสุดๆ

เรื่องย่อ อนิเมะ

เป็นเรื่องราวของ นาโอโตะ ฮาชิโอจิ พระเอกซึ่งเป็นหนุ่มรุ่นพี่ที่อยู่ชมรมศิลปะ และ ฮายาเสะ นางาโทโระ นางเอกรุ่นน้องที่อยู่ชมรมว่ายน้ำ โดยพระเอกของเรื่องนี่นะนิสัยค่อนข้างจะขี้อายและขาดความมั่นใจอย่างแรง เป็นคนไม่สู้คนอีก แถมไม่รู้จักวิธีเข้าหาผู้คนเอาซะเลย และยิ่งเรื่องผู้หญิงไม่ต้องพูดถึงเลย เพราะฉากแรกของเรื่องแค่เปิดประตูเข้าห้องสมุดมาแล้วเจอสาวๆ ยังประหม่าสุดๆ ไปเลย

แต่การไปห้องสมุดครั้งนั้นก็ทำให้เขาได้เจอกับนางเอกของเรื่อง นางาโทโระ เด็กสาวผู้มีความแสบซนในตัวสูงปรี๊ด ซึ่งหลังจากที่ทั้งสองพบกันวันนั้น นางาโทโระก็ได้คอยตามแกล้งพระเอกอยู่เรื่อยๆ ส่วนพระเอกผู้ซื่อๆ ใสๆ ของเราจะสามารถรับมือกับความแสบซุกซนของเธอได้หรือไม่นั้น ต้องตามไปรับชมกันได้ใน ยัยตัวแสบ แอบน่ารัก รับรองว่ายิ้มจนเมื่อยปากแน่นอน

ยัยตัวแสบ แอบน่ารัก

สรุปภาพรวม อนิเมะ

สำหรับ อนิเมะ เรื่องยัยตัวแสบ แอบน่ารัก มีชื่อภาษาญี่ปุ่นว่าイジらないで、長瀞さん ( Ijiranaide, Nagatoro-san ) และชื่อภาษาอังกฤษ คือ Don’t Toy With Me, Miss Nagatoro

สร้างเป็น อนิเมะ โดยสตูดิโอ Telecom Animation Film

เริ่มออกอากาศตอนแรกเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2564

โดยรวมแล้วเป็นการ์ตูน อนิเมะ ที่น่าติดตามมากๆ เนื้อเรื่องมีความน่ารัก ดูแล้วต้องยิ้มตามตลอดเวลา

• พล็อตเรื่องโดนใจวัยรุ่นสุดๆ นางเอกดื้อ แสบซนครบเลย ส่วนพระเอก ซื่อๆ ไม่ค่อยรู้เรื่องนี่แหละ ความน่ารักจึงบังเกิด

• คะแนนความน่าดูเอาไปที่ 9/10 เลยจ้า

รูปภาพประกอบ : epicstream.com

รูปภาพประกอบ : cbr.com

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Copenhagen Cowboy: ซีรีส์สุดอาร์ตจาก นิโคลัส วินดิง เรฟน์

ผลงานซีรีส์การกำกับ และสร้างสรรค์โดยเจ้าพ่อหนังอาร์ต นิโคลัส วินดิง เรฟน์ (Drive) ที่เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกระหว่างเขากับ Netflix ในครั้งนี้เขาได้หันมาสร้างซีรีส์ภาษาเดนิช เป็นครั้งแรก พร้อมได้ทีมนักแสดงชาวเด็นมาร์ก มาร่วมแสดงนำ

เรื่องราวของ Copenhagen Cowboy จะว่าด้วย มียู (แองเจล่า บันดาโลวิค) หญิงสาวที่ถูกจับมาเพื่อทำงานให้กับแก๊งอาชญากร ด้วยความเชื่อของหญิงชราหัวหน้าแก๊งที่ว่า ยูมีนั้นมีพลังพิเศษที่จะทำให้เธอมีลูกได้ แต่ทว่าระหว่างที่ทำงานนี้ ยูมีก็ต้องพบกับความโหดร้าย ทารุณต่าง ๆ มากมายที่ผู้อำนาจกระทำต่อแรงงานหญิง ยูมี เลยหาทางเพื่อช่วยเหลือพวกเธอ และตนเอง ด้วยการผันตัวสู่ผู้ล้างแค้นด้วยพลังพิเศษของเธอเอง จนนำมาสู่สงครามระหว่างแก๊งอาชญากรสุดเข้มข้น

Copenhagen Cowboy เป็นงานซีรีส์ที่เต็มไปด้วยความแปลก และแตกต่างจากซีรีส์เรื่องอื่น ๆ ของ Netflix ด้วยความที่งานของ นิโคลัส วินดิง เรฟน์ มีความโดดเด่นเฉพาะตัว โดยเฉพาะความเชื่องช้าของเนื้อเรื่อง การเล่าผ่านฉากลองเทค และงานภาพสวย ๆ สไตล์หนังอินดี้ ซึ่งเป็นรูปแบบการนำเสนอแบบเดียวกับซีรีส์ก่อนหน้าของเขาอย่าง Too Old Too Die Young หากใครที่ชอบเสพงานภาพ และชอบซีรีส์อาร์ต ๆ อาจชื่นชอบ แต่หากใครที่ชอบซีรีส์ที่เดินเรื่องเร็ว เนื้อหาสูตรสำเร็จ อาจไม่ชอบซีรีส์เรื่องนี้ไปเลย

ในเรื่องนี้ เรฟน์ ยังคงมาพร้อมพลอตที่คุ้นเคย คือการพูดถึงโลกใต้ดิน วงการอาชญากรรม และการล้างแค้น ซึ่งในเรื่องนี้หนังได้เลือกผสมผสานความเป็นดราม่า แฟนตาซี เข้าไปด้วย หนังพาคนดูไปสำรวจชีวิตของเหล่าหญิงสาวที่ถูกจับมาค่าแรงงาน เป็นโสเภณี ที่ต้องดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอด ที่ชวนให้คนดูอยากติดตามเอาใจช่วยไปจนจบเรื่อง

ส่วนที่โดดเด่นมาก ๆ ของ Copenhagen Cowboy คืองานโปรดักชันของซีรีส์ ที่ในเรื่องนี้ เรฟน์ ยังคงจัดเต็มด้วยสไตล์ที่คุ้นเคย ด้วยงานภาพลองเทค พร้อมการจัดองค์ประกอบภาพ และแสงสีที่สวยงาม ราวกับภาพวาด หรือภาพถ่ายที่วิจิตรงดงาม พร้อมทั้งงานดนตรีประกอบที่มีความเป็น EDM เพิ่มอรรถรสให้การรับชมซีรีส์มากขึ้นไปอีก

โดยรวม Copenhagen Cowboy นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่โดดเด่นด้วยสไตล์งานเฉพาะของ นิโคลัส วินดิ้ง เรฟน์ ที่เต็มไปด้วยความวิจิตรงดงามของงานโปรดักชั่น และการพาคนดูไปร่วมผจญภัยกับโลกอาชญากรรม และความดาร์กแฟนตาซี ที่ซ่อนเซอร์ไพรส์แบบที่คนดูคาดไม่ถึง

สามารถรับชมซีรีส์ Copenhagen Cowboy ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
anime

รีวิวอนิเมะ Monster season 1

Monster คืออีกหนึ่งอนิเมะซีรีส์ขึ้นหิ้งแห่งยุค 2000 ที่ดัดแปลงมาจากมังงะเขียนโดย นาโอกิ อุราซาวะ (20th Century Boys) ที่จะว่าด้วยเรื่องราวของ ดร.เท็นมะ หมอศัลยแพทย์อัจฉริยะที่วันหนึ่งเขาได้ช่วยชีวิตเด็กชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า โยฮัน ที่เกือบตายจากการถูกยิงเข้าที่ศีรษะ

แต่ทว่าการช่วยชีวิตในครั้งนั้นมันได้เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล เมื่อแท้จริงแล้ว โยฮัน คือเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมต่อเนื่องในเยอรมณี ในขณะที่ เท็นมะ ถูกใส่ร้ายว่าคือฆาตกรไปโดยปริยาย ทางเดียวที่เขาจะพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตัวเองคือตามหาตัว โยฮัน และหาคำตอบของเรื่องทั้งหมด

ความพิเศษของ Monster คืออนิเมะญี่ปุ่นที่มาพร้อมบริบทของหนัง หรือซีรีส์ฮอลีวูด มากกว่าที่จะเป็นอนิเมะญี่ปุ่นในภาพจำของหลาย ๆ คน ตัวซีรีส์มาพร้อมเนื้อหาที่ค่อนข้างมีความเป็นผู้ใหญ่ จริงจัง โดยเฉพาะความดาร์กจากการนำเสนออีกด้านของจิตใจมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการคอรัปชัน การแสวงหาผลประโยชน์ การก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ที่ถูกนำเสนอได้อย่างตรงไปตรงมา

อีกหนึ่งจุดขายของตัวซีรีส์ Monster คือการเป็นงานที่แจ้งเกิดของ นาโอกิ อุราซาวะ ในการเป็นนักเขียนการ์ตูนแนวลึกลับ สืบสวนสอบสวน ซึ่งในเรื่องนี้หนังมีจุดขายในการถ่ายทอดพาร์ทสืบสวนสอบสวน ไล่ล่า และความระทึกขวัญ ออกมาได้ชวนติดตาม ตลอดเรื่องราวของซีรีส์เต็มไปด้วยความลับ และปมปริศนา ที่ให้คนดู และตัวละครร่วมกันไปหาคำตอบจากจิ๊กซอว์ที่ปรากฎในแต่ละตอน

ไม่ใช่พาร์ทสืบสวน และระทึกขวัญที่ทำออกมาได้อย่างเข้มข้น ชวนติดตามแล้ว พาร์ทดราม่าในเรื่องนี้ก็ทำออกมาได้อย่างน่าชื่นชม ซีรีส์สามารถตีประเด็นหน้าที่ และความสำคัญของอาชีพหมอ ได้อย่างชัดเจน ดีเยี่ยม รวมถึงสอดแทรกพาร์ทการเมือง ประวัติศาสตร์ของเยอรมัน มาเป็นองค์ประกอบในการเล่าเรื่องได้อย่างลงตัว

แต่ด้วยความที่เป็นเพียงพาร์ทแรกของอนิเมะ ทำให้ในซีซั่นแรกของ Monster ยังมีตอนที่เป็นช่วงปูเนื้อหาค่อนข้างเยอะ ทำให้บางตอนของอนิเมะ ค่อนข้างเนิบช้า น่าเบื่อไปบ้าง แต่กระนั่นความน่าเบื่อในเรื่อง มันก็ปูทางไปสู่ความสมบูรณ์แบบในช่วงต่อ ๆ ไปของเรื่องได้เป็นอย่างดี

โดยสรุป Monster season 1 คืออีกหนึ่งอนิเมะน้ำดี ที่เต็มไปด้วยฉากเปิดเรื่องที่ทรงพลัง และน่าจดจำ เวอร์ชันอนิเมะสามารถรังสรรค์ภาพจากมังงะ ให้ออกมาโลดแล่นในรูปแบบอนิเมะฟิล์มนัวร์ ที่เต็มไปด้วยความจริงจัง ซีเรียส และการสืบสวนที่สมจริง เข้มข้น ชวนให้ติดตามต่อว่าเนื้อหาในซีซั่นต่อ ๆ ไปจะเป็นอย่างไร

สามารถรับชมอนิเมะ Monster season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิว Murderville ซีรีส์สืบสวน

เชื่อว่าหลายคนคงมีภาพจำของซีรีส์สืบสวนว่าเป็นซีรีส์แนว ฟิล์มนัวร์ อาชญากรรม เนื้อหาที่ชวนเครียด หดหู่ แต่สำหรับ Murderville ซีรีส์เรื่องใหม่จาก Netflix หาได้เป็นแบบนั้นไม่ เพราะนี่คือซีรีส์สไตล์ซิตคอม ผสมเกมโชว์ ที่ใช้ซีรีส์สืบสวนเป็นแรงบันดาลใจ

ตัวซีรีส์จะว่าด้วย เทอร์รี่ (วิล อาร์เน็ต) หัวหน้าทีมสืบสวนสุดเปิ่น จอมโวยวาย ที่ได้มองหาเจ้าหน้าที่มาร่วมภารกิจสืบสวนกับเขา โดยซีรีส์จะมีทั้งหมด 6 Ep. และแต่ใน Ep. จะมีแขกรับเชิญที่ต้องมาช่วยเทอร์รี่ไขคดีแบบไม่ซ้ำหน้า ไม่ว่าจะเป็น โคแนน โอ ไบรอัน (The Mitchells vs. The Matchines), มาร์เชล ลินซ์ (ซีรีส์ Westworld), แอนนี่ เมอร์ฟี่ (ซีรีส์ Schitt’s Creek), ชารอน สโตน (Basic Instinct), คุมาล นานจิเอนิ (Eternals) และ เคน จอง (The Hangover) ซึ่งแขกรับเชิญแต่ละคนนั้นจะมารับบทเป็นตัวเอง และทุกคนจะไม่ได้อ่านบทล่วงหน้ามาก่อน ทำให้แขกรับเชิญเหล่านีตัองด้นบทสด ๆ และคาดเดาตัวคนร้ายจากการสังเกตของตัวเอง

ความน่าสนใจของ Murderville คือการที่ซีรีส์ได้ใช้คุณสมบัติของซีรีส์สืบสวน มาผสมผสานใส่มุกซิตคอม และใช้ล๔กเล่นแบบรายการเกมโชว์เข้าไปได้อย่างลงตัว ตัวซีรีส์อัดแน่นไปด้วยมุกตลกเกรียน ๆ โดยเฉพาะตัว วิล อาร์เน็ต ที่เต็มไปด้วยมุกแพรวพราวที่พร้อมปั่นประสาทคนดู และแขกรับเชิญ นอกจากนี้เหล่าตัวละครสมทบในเรื่องต่างก็มีความแปลก ความเกรียน ที่ได้ร่วมสร้างสีสันให้ซีรีส์ไม่น้อย

หนึ่งในส่วนที่ชอบมาก ๆ ของ Murderville คือการที่ซีรีส์ไม่ได้ให้แขกรับเชิญรู้บทของตัวเอง ความสนุกของมันคือการด้นสดที่เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะการยิงมุกของ วิล อาร์เน็ต ที่แขกรับเชิญไม่ทันตั้งตัว รีแอคที่ได้มันเลยเป็นโมเมนต์ที่น่ารัก ประทับใจ และชวนขำทุกครั้ง นอกจากนี้ การที่ซีรีส์ให้แขกรับเชิญคือคนที่ต้องชี้ตัวคนร้ายเอง ทำให้มันได้สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดู คือให้คนดูและแขกรับเชิญ ต้องรับบทนักสืบ ที่ต้องช่างสังเกตในทุกเบาะแสที่ซีรีส์ใบ้ มันเลยทำให้การเดาตัวคนร้าย และสังเกตสิ่งต่าง ๆ คือความบันเทิงที่หาไม่ได้จากซีรีส์สืบสวนเรื่องอื่น ๆ

ถึงกระนั้น Murderville ก็ยังคงมีข้อด้อยบางส่วน ที่ทำให้เสน่ห์ความเป็นหนัง หรือซีรีส์สืบสวนลดลง เนื่องจากเงื่อนไขของความเป็นเกมโชว์ของมัน ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอที่ไม่สมจริง ไม่ธรรมชาติ ความซ้ำซากจำเจในการเล่นมุกตลกเดิม ๆ ที่บางครั้งมันกลับชวนน่าเบื่อไปบ้าง

โดยรวม Murderville เป็นอีกคอนเทนต์ที่คอซีรีส์สืบสวนน่าจะถูกใจไม่น้อย ด้วยความที่ซีรีส์ได้พาคนดู และแขกรับเชิญ ได้ร่วมเป็นนักสืบมือสมัครเล่น ซึ่งแต่ละคดีก็ท้าทายไวพริบไม่น้อย ประกอบกับมุกตลกที่ชวนขำทุกตอน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เหมาะอย่างยิ่งแก่การรับชมกับครอบครัวหรือแก๊งเพื่อนในยามพักผ่อน

สามารถรับชม Murderville ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิว Detective Conan: The Culprit Hanzawa

ผลงานซีรีส์ภาคแยกจากอนิเมะยอดนักสืบจิ๋วโคนัน ที่ครั้งนี้เป็นการฉีกการเล่าเรื่องด้วยการเปลี่ยนจากการเล่าเรื่องราวการสืบสวนของยอดนักสิบจิ๋ว มาเป็นการเล่าผ่านมุมมองของตัวละคร ฮันซาวะ วายร้ายร่างดำที่อยู่คู่กับซีรีส์ชุดนี้มาเนิ่นนาน และมีตัวละครหลักจากเรื่องโคนันเป็นตัวประกอบของเรื่อง

Detective Conan: The Culprit Hanzawa จะว่าด้วย ฮันซาวะ ชายปริศนาที่เดินทางเข้ามาในเมืองเบกะ เพื่อเข้ามาฆาตกรรมชายคนหนึ่ง แต่ทว่าการวางแผนนี้ก็กลับเต็มไปด้วยอุปสรรค ตั้งแต่การหาหอพัก การหลบหนีตำรวจ และเหล่าโคนัน และผองเพื่อน ซึ่งวิธีการซ่อนตัว หลบหนีของฮันซาวะ ก็เต็มไปด้วยเรื่องเกรียนๆ ชวนขำ และมิตรภาพมากมาย

ตัวซีรีส์มาพร้อมกับเนื้อหาที่สั้นกระชับ ด้วยความยาวเพียงตอนละไม่ถึง 10 นาที เนื้อหาในแต่ละตอนจะมีปนะเด็น มีเรื่องราวจบในตอนที่ต่างกันไป อรรถรสของซีรีส์จะให้อารมณ์เหมือนอ่านการ์ตูนแก๊ก ที่ในแต่ละนาทีแทบจะยิงมุกตลกให้ได้ขำตลอดเวลา โดยที่ยังอิงคอนเซปต์จากเนื้อหาหลักของยอดนักสืบจิ๋วโคนัน

ความพิเศษของ Detective Conan: The Culprit Hanzawa คือการที่ซีรีส์เลือกหยิบมุกตลก ที่เป็นสิ่งที่ยอดนักสิบจิ๋วโคนัน มักโดนล้อ ไม่ว่าจะเป็นการที่เมืองเบกะ เต็มไปด้วยคดีฆาตกรรมเพราะโคนัน หรือการล้อเลียนคาแรคเตอร์ของตัวละครจากภาคหลัก ที่หากใครเป็นแฟนบอยอนิเมะชุดนี้จะต้องชื่นชอบไปกับมุกตลกเหล่านี้ไม่มากก็น้อย

แต่นอกเหนือจากความตลกโบกฮาแล้ว ในซีรีส์ยังสอดแทรกพาร์ทดราม่าเล็กๆ ในซีรีส์ ที่ทำให้เราได้เห็นมุมอ่อนโยน มุมน่ารักของตัวฮันซาวะ ทั้งด้านมิตรภาพ ความเอ็นดูสัตว์ ความกากเกรียนน่าเอ็นดู ที่ไม่เคยได้เห็นจากซีรีส์โคนัน จนทำให้คนดูเปลี่ยนภาพจำของตัวละครนี้ไปโดยสิ้นเชิง

ด้านข้อเสียของซีรีส์ Detective Conan: The Culprit Hanzawa หลักๆ จะเป็นงานภาพ เนื่องจากซีรีส์ไม่ได้ตัว อาโอยาม่า โกโช ผู้เขียนการ์ตูนโคนัน มาร่วมวาดภาพให้ ทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีความเป็นงานแฟนเมดซะมากกว่า ที่จะเป็นหนึ่งในผลงานจากซีรีส์ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน

โดยภาพรวม Detective Conan: The Culprit Hanzawa นับว่าเป็นซีรีส์อนิเมะจากจักรวาลโคนัน ที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ การฉีกภาพจำของการ์ตูนชุดนี้ ที่เล่าเรื่องได้อย่างมีชั้นเชิง มีการเล่นมุกตลกล้อเลียนตัวเองที่เล่นได้สุด ที่หากใครติดตามโคนันมานาน จะต้องชื่นชอบเรื่องนี้ด้วยอย่างแน่นอน

สามารถรับชมซีรีส์ Detective Conan: The Culprit Hanzawa ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Glory Part 1

The Glory เป็นผลงานซีรีส์แนวระทึกขวัญจากเกาหลี เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ยังคงเป็นอีกหนึ่งงานที่หยิบประเด็นยอดนิยมอย่างการบูลลี่ในโรงเรียนมาถ่ายทอด ผ่านวิสัยทัศน์ของผู้กำกับอย่าง กิลโฮอัน (Stranger) และมือเขียนบทอย่าง คิมอึนซุก (Descendants of the Sun) พร้อมได้นักแสดงมากฝีมือของเกาหลีอย่าง ซงเฮเคียว (Descendants of the Sun) มารับบทนำ

เรื่องราวของ The Glory จะว่าด้วย มุนดงอึน (ซงเฮเคียว) หญิงสาวที่ถูกเพื่อนในชั้นเรื่องรุมรังแกอย่างโหดร้าย ทารุณ มาตลอดช่วงชีวิต ม.ปลาย จนเธอเกือบที่จะจัดสินใจคิดสั้น แต่ด้วยความคั่งแค้นที่สะสม ทำให้ ดงอึน เลือกที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และใช้เวลากว่า 10 ปี ในการวางแผนล้างแค้นอดีตเพื่อนร่วมชั้นที่เคยทำร้ายเธอ ด้วยวิธีที่แยบยล และเลือดเย็น

แม้ว่าพลอต และโครงเรื่องของซีรีส์จะชวนให้นึกถึงหนัง หรือละครแนวล้างแค้นอย่าง “ล่า” ของไทย แต่ทว่า The Glory กลับแตกต่างจากเรื่องดังกล่าว ด้วยการที่เป็นซีรีส์แนวล้างแค้นที่มีมากกว่าการเข่นฆ่า หรือความโหดร้ายเลือดเย็น โดยในซีรีส์ใช้วิธีนำเสนอการล้างแค้นในรูปแบบของการเดินเกมหมากล้อม ที่ตัวละคร ดงอึน จะทำหน้าที่ค่อย ๆ ต้อนให้เหล่าเหยื่อการล้างแค้นของเธอจนมุม ด้วยการวางแผนที่แนบเนียน และเต็มไปด้วยชั้นเชิง

ใครที่หวังจะดูซีรีส์ล้างแค้นเอามันส์ เอาความสะใจแบบเน้น ๆ อาจผิดหวังเล็กน้อย เพราะในตลอด 8 ตอนของ Part 1 ซีรีส์เลือกที่จะดำเนินเรื่องผ่านทั้งเส้นเรื่องของดงอึน และเหล่าตัวละครวายร้ายของเรื่อง ทำให้ซีรีส์ไม่ได้โฟกัสที่การล้างแต้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังพาคนดูไปสำรวจชีวิตของเหล่าตัวละครในเรื่อง ที่แต่ละตัวละครต่างเผชิญชะตากรรมที่แตกต่างกันไป

การเล่าเรื่องของซีรีส์ดำเนินเรื่องออกมาได้ชวนติดตาม ตัวซีรีส์ยังเป็นอีกเรื่องที่หยิบประเด็นยอดนิยมของเกาหลีอย่างการบูลลี่ในโรงเรียน ซึ่งในเรื่องนี้ถ่ายทอดความรุนแรงออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ ซีรีส์เต็มไปด้วยฉากรุนแรงที่ชวนสะเทือนใจ ด้วยเหตุนี้ทำให้ซีรีส์สามารถสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างคนดู กับตัวละคร ดงอึนได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงทำให้คนดูอยากติดตามต่อไปว่าการล้างแค้นของดงอึน จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน

ด้านการแสดง ซงเฮเคียว สามารถถ่ายทอดบทบาทของหญิงสาวที่มีบาดแผลได้อย่างดีเยี่ยม เป็นบทที่เธอต้องสลัดลุ้คสาวหวาน สู่หญิงสาวผู้เย็นชาที่พูดน้อยแต่ว่าทุกบทสนทนา และแผนการของเธอกลับเต็มไปด้วยทีเด็ดที่สามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด

โดยรวม The Glory เป็นอีกหนึ่งซีรีส์เกาหลีแนวระทึกขวัญ ที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม และมีความแปลกใหม่กว่าหนังหรือซีรีส์แนวล้างแค้นทั้วไป ด้วยแผนการ และบทสนทนาที่ถ่ายทอดได้อย่างมีชั้นเชิง เต็มไปด้วยการหักมุม และการสับขาหลอกที่เหนือชั้น พร้อมปูทางสู่บทสรุปใน Part 2 ได้อย่างน่าติดตาม

สามารถรับชมซีรีส์ The Glory Part 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
anime

รีวิวซีรีส์ Lookism อนิเมะจากเกาหลี

ผลงานอนิเมะ Original Netflix ที่ดัดแปลงมาจาก webtoon ชื่อเดียวกัน โดยเวอร์ชั่นซีรีส์ถูกสร้างสรรค์โดย คังเฮย์ชุล ที่เคยมีผลงานอนิเมะอย่าง The Witcher: Nightmare Offerman the Wolf โดยเรื่องนี้เป็นงานแรกที่เขารับหน้าที่กำกับอย่างเต็มตัว

Lookism จะว่าด้วยเรื่องราวของ พัคฮยองซอก เด็กนักเรียนร่างอ้วน ที่มักถูกเพื่อนร่วมชั้นรังแก และไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมเพียงเพราะเรื่องหน้าตา จนกระทั่งเขาได้ตัดสินใจย้ายไปยังโรงเรียนใหม่เพื่อหวังเจอสังคมใหม่ ๆ หลังจากนั้นไม่นาน ฮยองซอก ก็ได้รับพรวิเศษ

ที่ทำให้เขาได้มีร่างเพิ่มขึ้นมาเป็นร่างหนุ่มหล่อ ที่เขาสามารถสลับร่างผ่านการนอนหลับ หลังจากนั้น ฮยองซอกก็ได้ใช้ร่างหนุ่มหล่อในการเข้าสังคม หาเพื่อนฝูง และมันก็ทำให้เขาได้พบกับความจริงของสังคมที่ตัดสินคนเพียงเพราะรูปร่าง หน้าตา

ตัวเนื้อหาของ Lookism จะมาพร้อมการดำเนินเรื่องแบบอนิเมะไฮสคูล ผสมความเป็นแก๊งสเตอร์ และมีความแฟนตาซีเป็นส่วนเสริมให้การเล่าเรื่องน่าสนใจ เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของซีรีส์จะเป็นการพาคนดูไปสำรวจสังคมการบูลลี่ในโรงเรียน ตั้งแต่การทำร้ายร่างกาย การไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม ซึ่งเมื่ออยู่ในรูปแบบภาพการ์ตูน มันได้ช่วยให้ความรุนแรงต่าง ๆ ดูซอฟต์ลง

ตัวซีรีส์สามารถสร้างความรู้สึกร่วมระหว่างคนดู กับตัวละครฮยองซอก ตั้งแต่นาทีแรกได้เป็นอย่างดี ผ่านการนำเสนออุปสรรคต่าง ๆ ในชีวิตที่ตัวละครเผชิญ ในแต่ละตอนนอกจากจะพูดถึงเรื่องประเด็นการบูลลี่แล้ว ในเรื่องยังสอดแทรกประเด็นชนขั้น ค่านิยมต่าง ๆ ที่ถูกวิพากษ์ในเนื้อหาแต่ละตอนได้อย่างดีเยี่ยมในแบบที่ไม่ดูเป็นการพยายามสั่งสอนคนดูมากเกินไป แต่ภาพและเนื้อหาของอนิเมะจะพาคนดูได้รู้สึกตกตระกอนทางความคิดตามเนื้อเรื่อง

งานภาพของซีรีส์ค่อนข้างทำออกมาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นลายเส้นการออกแบบหน้าตาของตัวละคร โดยเฉพาะตัวละคร ฮยองซอก เวอร์ชั่นหล่อ ที่ถูกออกแบบหน้าตาให้ดูมีเสน่ห์ เป็นประกายในแทบทุกฉากที่ปรากฎตัว รวมถึงการสร้างสรรค์ฉากแอ็คชั่น ที่ทำได้ดุเดือด เมามันส์ กว่าที่คาดไว้

เรียกได้ว่า Lookism เป็นอนิเมะที่มีดีมากกว่าแค่ความบันเทิง ที่ดูเอาสนุกเท่านั้น แต่ในเนื้อหายังสามารถหยิบประเด็นที่คุ้นเคยกันดีของสังคมเกาหลี รวมถึงหลาย ๆ ที่อย่างเรื่องการบูลลี่ การเหยียดรูปร่าง หน้าตา มาถ่ายทอดได้ตรงไปตรงมา หลายฉากหนังสามารถมอบแง่คิดให้กับคนดูได้อย่างชาญฉลาด นับว่าเป็นอีกอนิเมะน้ำดีในปีนี้ ที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชมอนิเมะ Lookism ได้แล้วันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/UheuSEJuOVI

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
anime

รีวิวซีรีส์อนิเมะ Mieruko-chan: อนิเมะแนวสยองขวัญ คอเมดี้

Mieruko-chan หรืออีกชื่อหนึ่งคือ Girl That Can See It เป็นผลงานซีรีส์อนิเมะที่สร้างจากมังงะของ อิซูมิ โทโมกิ ที่จะว่าด้วยเรื่องราวของ เมรูโกะ สาวน้อยมัธยมปลายที่วันหนึ่งเธอได้พบว่าตนเองนั้นมีความสามารถในการเห็นวิญญาณตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งวิญญาณที่เธอเห็นแต่ละตนนั้นก็จะมาพร้อมหน้าตา รูปลักษณ์ที่น่ากลัวต่างกันไป

แต่ความพิเศษของ เมโกะ คือเธอเลือกใช้วิธีรับมือกับปัญหานี้ด้วยการแสร้งว่าตนเองนั้นมองไม่เห็นวิญญาณเหล่านั้น เพื่อหวังว่าวิญญาณที่เธอเห็นจะไม่คอยไล่ตามหลอกหลอน หรือร้ายเธอ และคนรอบข้าง ซึ่ง เมรุโกะ ต้องอดกลั้น และพยายามเก็บความสามารถนี้เป็นความลับ เพื่อไม่ให้ใครต้องเผชิญเรื่อเลวร้ายจากสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้

ความสนุกของ Mieruko-chan คือการที่อนิเมะมีการใช้วิธีการผสมผสานความเป็นอนิเมะน่ารัก ๆ ขวัญใจสาว ๆ หรือชาวโอตาคุ มารวมเข้ากับการ์ตูนสยองขวัญ สไตล์ อิโต้ จุนจิ ซึ่งส่วนผสมดังกล่าว มันทำให้อนิเมะเรื่องนี้ มีเนื้อหาที่แตกต่าง และโดดเด่นกว่าอนิเมะ หรือซีรีส์สยองขวัญเรื่องอื่น ๆ

ในเนื้อหาผู้ชมจะได้บันเทิงไปกับวิธีการรับมือสารพัดวิธีของ เมรูโกะ ที่มันทั้งตลก อึดอัด และน่าสงสารเธอไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซีรีส์มีการสร้างสถานการณ์จำเพาะต่าง ๆ เช่น การเจอวิญญาณในสถานที่สาธารณะ การที่บางครั้งเห็นวิญญาณเหล่านั้นภายในห้องนอน หรือห้องน้ำในบ้านของธอเอง โดยแต่ละตอน ก็จะค่อย ๆ มีการยกระดับเลเวลความเฮี้ยน ความน่ากลัวของวิญญาณในเรื่องมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ในด้านลายเส้น เรียกได้ว่าทำออกมาได้ค่อนข้างสวย ทั้งการดีไซน์ตัวละครผู้หญิง ที่มีความน่ารัก ผสมเซ้กซี่ โดยระหว่างเรื่องอนิเมะเรื่องนี้จะมีการเล่นกับฉากวาบหวิวของตัวละครเพื่อมาเพิ่มสีสันให้ซีรีส์มีความน่าติดตาม แต่อีกหนึ่งไฮไลท์ของอนิเมะเรื่องนี้คือ การสร้างสรรค์วิญญาณแต่ละตนให้ออกมาดูน่ากลัว สยดสยอง ราวกับอยู่ในซีรีส์ของ อิโต้ จุนจิ ที่มีการหยิบตำนานความเชื่อเรื่องวิญญาณของญี่ปุ่น มาใช้เป็นลูกเล่นในการเล่าเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม

โดยรวม Mieruko-chan เป็นอนิเมะที่มาพร้อมพลอตที่ฉีกกรอบของอนิเมะสยองขว้ญ ด้วยการผสมผสานกับความเป็นคอเมดี้ และดราม่าเล็ก ๆ ที่ทำออกมาได้กลมกล่อมลงตัว นอกจากความน่ากลัวของวิญญาณในเรื่องแล้ว ในอนิเมะก็ยังสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ตัวละครหญิงออกมาได้น่ารัก มีเสน่ห์ จนเราอยากติดตามเอาใจช่วยพวกเธอไปจนจบเรื่อง

สามารถรับชมซีรีส์อนิเมะ Mieruko-chan ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวหนัง SLR กล้อง ติด ตาย

อีกหนึ่งหนังสยองขวัญไทยที่เข้าฉายเมื่อช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมา โดยเป็นการหยิบเรื่องราวความสยองที่เกิดจากกล้องถ่ายรูปกลับมาเล่าอีกครั้ง โดยหนังจะว่าด้วย แดน (นนน กรภัทร) เด็กหนุ่มที่กำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัย และมีความฝันอยากเป็นช่างภาพชื่อดัง แต่ทว่าเขายังติดการทำธีสิสส่งอาจารย์

ทำให้แดน ไม่สามารถไปเรียนต่อที่อเมริกากับ น้ำ (เฌอปราง BNK48) และเกรท (นนท์-ศดานนท์) ได้ จนกระทั่งเขาก็ได้รับโอกาสที่จะสามารถทำธีสิส จบได้ดังหวัง เมื่ออาจารย์เอม (อ้น-นพพันธ์) ได้มอบกล้อง SLR ตัวหนึ่งให้กับเขา เพื่อนำไปถ่ายรูปผู้คน จนได้เป็นผลงานที่น่าพอใจ แต่ทว่าเบื้องหลังของกล้อง SLR ตัวนี้มีความลับอันน่าสะพรึงซ่อนอยู่

ตัวหนังพาพร้อมพลอต และการเล่าเรื่องที่ชวนนึกถึงหนังเรื่อง Polaroid เมื่อปี 2019 หนังอาจไม่ได้เน้นขายที่ความน่ากลัวของผี หรือวิญญาณในเรื่องมากนัก แต่จะหนักไปทางอาถรรพ์ คำสาป ที่เป็นลูกเล่นให้ตัวละครต้องหาทางแก้ไข และเอาชีวิตรอด ความพิเศษของหนังเรื่องนี้ คือการนำความเป็นหนังผีแบบไทย ๆ และปีศาจจากศาสนาคริสต์ ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จนสามารถสร้างรสชาติใหม่ ๆ ให้กับหนังแนวนี้ได้ไม่น้อย โดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่อง ที่ให้อารมณ์ความหลอน ความระทึก ที่สนุกไปอีกแบบ ทั้งนี้ด้วยการเป็นหนังที่ได้มือสร้างหนังสยองขวัญรุ่นใหญ่อย่าง ก้องเกียรติ โขมศิริ (ลองของ) มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง ที่ทำให้หนังคงไว้ซึ่งความน่ากลัวแบบหนังผียุค 90 เอาไว้

ด้านพาร์ทดราม่าเอง หนังก็ทำออกมาได้ค่อนข้างดี มีการสร้างมิติของแต่ละตัวละครได้อย่างมีน้ำหนัก โดยเฉพาะตัวละครแดน ที่ผู้ชมจะได้เห็นปม และอุปสรรคในชีวิต ที่บีบบังคับตัวเขาจนกลายเป็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในเรื่อง ทั้งปัญหาด้านความฝัน แรงกดดันจากครอบครัว และเพื่อน ๆ รวมทั้งพาร์ทความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนทั้ง 3 ที่ออกมาในเชิง รักสามเศร้าจนเป็นอีกหนึ่งสีสันสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ชวนติดตามไม่แพ้กัน

แต่กระนั้นส่วนที่น่าเสียดายมาก ๆ ของ SLR คือการที่หนังไม่สามารถหยิบนำประโยชน์ของความน่ากลัวของตัวเองมาใช้ได้อย่างเต็มที่เท่าที่ควร หนังค่อนข้างเน้นไปที่พาร์ทดราม่า เป็นส่วนใหญ่ จนบดบังความสยองขวัญที่ควรเกิดขึ้นในเรื่อง ทั้งนี้ในด้านของบทเอง ก็มีช่องโหว่เหมือนหนังไทยหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลของการกระทำตัวละครในบางช่วงที่ดูขาดน้ำหนัก และจังหวะการเล่าเรื่องบางช่วงที่ดูรวดเร็วจนเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้ความสยดสยอง น่ากลัวที่ควรจะมีของหนังหายไปโดยสิ้นเขิง

โดยรวม SLR กล้อง ติด ตาย เป็นอีกหนังสยองขวัญไทย ที่มาพร้อมความสยองขวัญที่ไม่ค่อยเห็นในไทย หนังผสมผสานความเชื่อเรื่องคำสาป วิญญาณ และปีศาจของศาสนาคริสต์ จนกลายเป็นความน่ากลัวแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใคร แต่กระนั้นหนังกลับตกม้าตายในการเล่าเรื่อง ทั้งพาร์ท ดราม่าที่เยอะเกินไป และความน่ากลัวที่ถูกนำมาใช้งานได้ไม่สุดเท่าที่ควร ทำให้ท้ายที่สุดหนังเรื่องนี้ก็เป็นงานที่พอดูได้เพลิน ๆ ที่ไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำมากนัก

สามารถรับชม SLR กล้อง ติด ตาย ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
anime

Review The Way of the Househusband

ชื่อเรื่อง : The Way of the Househusband

หาก คุณ เป็นหนึ่งคนที่ชื่นชอบการชม อนิเมะ สายฮา ต้องมาลองติดกับอนิเมะ เรื่อง The Way of the Househusband ที่จะพาทุกคนไปพบกับความสนุกสนาน บันเทิง บอกเลยว่าครบรสของความสนุก จบ ได้ในเรื่องเดียว เวลาการฉายแต่ละตอนอยู่ที่ ตอนละ 18 นาที มีทั้งหมด 29 ตอนจบ รวม ๆ แล้ว เป็นเวลาที่พอดี ไม่น่าเบื่อจนเกินไป

เนื้อเรื่องย่อ The Way of the Househusband

ในเรื่องเป็นการเล่าถึงเรื่องราวของ ยากูซะ สุดโหดคนหนึ่ง นามว่า ทัตสึคนอมตะ ในอดีตเขาเป็นชายหนุ่มที่น่าเกรงขามมาก ไปที่ไหนมีแต่ผู้คนเกรงกลัว ทว่าปัจจุบันตั้งแต่เขาได้พบรักกับสาวสุดน่ารัก ทำให้เขากลายมาเป็น พ่อบ้าน ที่บอกเลยว่าทั้งตลก และสนุก ไปพร้อม ๆ กัน เพราะเรื่องหลังจากนี้ จาก ยากูซะ สุดโหด กลายมาเป็นพ่อบ้านสายอ่อนโยน มันฮาขนาดไหน ต้องมาติดตามกันได้เลย

เนื้อเรื่องที่ประทับใจ แบบห้ามพลาดของ The Way of the Househusband

ความประทับใจในเรื่องบอกเลยว่าเป็นการนำเสนอมุมมองของผู้ชายที่ดิบเถื่อน จากคนที่ไม่เคยอ่อนโยน มาพบความรัก ตัวละคร ทัตสึคนอมตะ  สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของพ่อบ้านที่ต้องเอาใจคุณภรรยาสุดที่รัก ทั้งทำอาหาร ทำงานบ้าน เรียกได้ว่า พ่อบ้านตัวอย่างกันเลยทีเดียว ซึ่งหลาย ๆ ฉาก สามารถนำมาสอนการใช้ชีวิตประจำวันได้เลย และสำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบอนิเมะไม่เครียด สบาย ๆ ชมได้แบบความสนุกทุกตอน บอกเลยเรื่องนี้ คือ ตอบโจทย์ 100% ปัจจุบันก็ลงครบทุกตอน สามารถชมกันได้ยาว ๆ 1 ชั่วโมงกว่าก็จบแล้ว

Production ของเรื่อง The Way of the Househusband

จากการรับชมส่วนตัวให้เลย 9.5 / 10 คะแนน ด้วยความที่เริ่มต้นของการดำเนินเรื่องราว เป็นอนิเมะที่ใช้รูปแบบการนำเสนอง่าย ๆ สั้น ๆ มีการทำมุก ตลกขับขัน โดยที่เนื้อหามีความต่อเนื่อง ไม่ใช่แบบวกไปวนมาแต่อย่างใด ให้ความรู้สึกที่ชมแล้วไม่ได้เครียด ออกแนวผ่อนคลาย เบาสมอง ชมได้

เพลิน ๆ ในส่วนของ ภาพ สี แสง ต่าง ๆ ทุกอย่างลงตัวของความสมบูรณ์ และบางคนกลัวจะฟังไม่ออก หรือ อ่านซับไทยไม่ทัน บอกเลยว่ามีเสียงพากย์ไทย ที่รับฟังแล้วรู้สึกว่าลงตัว ไม่ได้เสียงดูหลอกจนเกินไป สมตัวละครทุกตัว และฟังลื่นหู ไม่มีสะดุด แต่แอบหักคะแนน 0.5 เพราะว่าบางมุกก็จำเจเกินไป และเป็นการนำเสนอแบบภาพนิ่ง ๆ ต่อเนื่องกันไปนั้นเอง แต่โดยรวมถือว่าอนิเมะน้ำดีเรื่องหนึ่งเลย ในการรับชม สามารถชมได้ทาง Netflix ได้แล้ววันนี้ ความสนุก รอ คุณ อยู่แน่นอน

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window

The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window คือซีรีส์แนวอาชญากรรม สืบสวนสอบสวน ปนคอเมดี้เรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ภาพรวมแทบจะไม่ได้โดดเด่นอะไร พลอตมันแทบจะก้อป The Woman in the Window ที่เข้าฉายเมื่อปีที่แล้ว แต่ด้วยความที่ชื่อซีรีส์ที่ยาวจนโดดเด่น และชื่อไทยแบบกวน ๆ ว่า “ลางหลอน ซ่อนมรณะจ๊ะ” ทำให้งานซีรีส์พลอตบ้าน ๆ ที่สร้างสรรค์โดย ไมเคิล เลอห์มาน (ซีรีส์ Jessica Jones) ดูน่าสนใจขึ้นมาในทันที

ซีรีส์จะว่าด้วยเรื่องราวของ แอนนา (คริสเทน เบล) แม่ม่ายสาวที่พึ่งสูญเสียลูกสาวจากฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งเพราะการสูญเสียนี้เองทำให้เธอต้องหย่าจากสามี และกลายเป็นคนติดเหล้าขนาดหนัก แต่กระทั่งวันหนึ่งได้มีครอบครัวใหม่ได้ย้ายเข้ามาในบ้านฝั่งตรงข้ามเธอ ซึ่งภายนอกดูเหมือนครอบครัวนี้จะดูปกติธรรมดาทุกอย่าง จนวันหนึ่ง แอนนา ได้เห็นการฆาตกรรมแฟนสาวของชายในบ้านตรงข้าม แต่ทว่าเมื่อเธอแจ้งตำรวจกลับพบว่าไม่มีศพของหญิงสาวอยู่ในบ้าน และทุกคนกลับเชื่อว่าเธอหลอนไปเอง แอนนา เลยต้องสวมบทเป็นนักสืบจำเป็นเพื่อพิสูจน์ว่าเธอพูดความจริง และหาตัวคนร้ายมาลงโทษ

อย่างที่กล่าวไปในตอนแรก ว่าซีรีส์ชุดนี้มีความคล้ายกับ The Womman in the Window โดยเฉพาะในแง่พลอตเรื่อง ในประมาณ 1-4 Ep. แรก ซีรีส์แทบจะเล่าไปในทิษทางเดียวกัน เพียงแต่ปรับบริบทให้เนื้อหาดูเบาสมองขึ้น มีการใช้ตัวละครเอกที่เป็นหญิงสาวที่จิตใจบอบช้ำมาเป็นจุดสูญกลางของเรื่อง ซึ่งพอตัวเอกเป็ยผู้หญิง ทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีความเป็นผู้หญิงอยู่เยอะ เช่นเดียวกับซีรีส์อย่าง Emily in Palis, Riverdale หรือ Bridgerton ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นการปะทะคารมของผู้หญิง ความต้องการทางเพศของหญิงสาว และวิธีการสอดรู้สอดเห็นแบบแม่บ้าน

แม้ซีรีส์จะพยายามขายความเป็นผู้หญิงไปเยอะมากก็ตาม แต่ก็ยังไม่ทิ้งเสน่ห์ของซีรีส์สืบสวน ด้วยการสร้างตัวละครรอบตัวแอนนา ให้ดูเป็นผู้ต้องสงสัย ให้คนดูได้คาดเดาว่าใครคือคนร้ายที่แท้จริง รวมถึงการดำเนินเรื่องด้วยการค่อย ๆ ผูกโยงเรื่องราว มีพาร์ทตามหาความจริงที่ชวนติดตาม พร้อมการเฉลยตัสคนร้ายที่เหนือการคาดเดา

แต่น่าเสียดายที่ซีรีส์ชุดนี้กลับไม่สามารถนำจุดเด่นของตัวเองมาใช้งานได้คุ้มค่าอย่างที่ควร จนกลายเป็นความไม่สุดสักทางของซีรีส์ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับปมทางจิตใจของ แอนนา ที่ตัวผู้รับบทอย่าง คริสเทน เบล ยังไม่สามารถทำให้คนดูเชื่อในความป่วยของเธอได้ ในขณะที่พาร์ทการสืบสวนก็ยังทำออกมาได้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ การผูกปมต่าง ๆ ในซีรีส์ยังไม่สามารถสร้างน้ำหนะกที่สมเหตุสมผลได้ โดยเฉพาะการเฉลยปมในตอนท้ายที่ค่อนข้างดูเหมือนการแถซะมากกว่า

โดยรวม The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window นับว่าเป็นซีรีส์สืบสวน ระทึกขวัญ ที่พอดูเอาสนุกได้อีกเรื่อง ซีรีส์มาพร้อมสูตรสำเร็จของหนัง และซีรีส์แนวนี้ที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่หากใครที่มองหาซีรีส์ขนาดสั้นไว้ดูฆ่าเวลา นี่คืออีกเรื่องที่อยากแนะนำ

สามารถรับชม The Woman in the House Across the Street from the Girl in the Window ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

ลิงก์ตัวอย่าง: https://youtu.be/fuUZCoyoHo4

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์สารคดี Keep Sweet: Pray and Obey

ผลงานซีรีย์สารคดีอาชญากรรมเรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่ครั้งนี้ได้เปลี่ยนจากฆาตกรต่อเนื่อง หรือคดีฆาตกรรม สู่การตีแผ่ประเด็นที่ร่วมสมัยอย่างเรื่องลัทธินอกรีด ที่มีชื่อว่า Fundamentalist ของพระเยซูคริสต์แห่ง Latter Day Saints (FLDS) ที่มีผู้นำที่เชื่อว่าการมีภรรยาหลายคนคือเรื่องที่ดี

โดยสารคดีจะพาเราไปสำรวจตั้งแต่จุดเริ่มต้นของครอบครัว เจฟฟ์ ที่มีผู้นำรุ่นแรกคือ ลูรอน เจฟฟ์ ที่ได้เป็นศาสดาของคริสจักร Fundamentalist ผู้ปลูกฝังให้ผู้หญิงในลัทธิแต่งงานเป็นภรรยาของเขา หลังจากที่ ลูรอน เสียชีวิตลงได้ไม่นาน วอร์เรน ลูกชายของเขาก็รับหน้าที่ศาสดาคนใหม่ ซึ่งในลัทธิก็ได้มีการเพิ่มคงามเข้มงวดด้วยการกีดกันไม่ให้คนที่อยู่ข้างในรับรู้โลกภายนอกทั้งหมด ทำให้เด็ก ๆ ที่เกิดมาในลัทธิไม่มีโอกาสได้เห็นโลกภายนอก รวมทั้งตัว วอร์เรน ก็ยังมีการนำเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะไปแต่งงานเป็นภรรยาของตนเอง และเหล่าผู้นำอีกด้วย

ตัวซีรีส์เลือกวิธีการนำเสนอด้วยการสัมภาษณ์คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธิดังกล่าวทั้งหมด เริ่มตั้งแต่คนที่อยู่ในลัทธิ เด็กสาวที่เติบโตมาในสถานที่ดังกล่าว ไปจนถึงนักข่าว ที่สืบค้นเรื่องนี้ ทำให้ตัวซีรีส์ค่อนข้างนำเสนอแง่มุมที่หลากหลายครบรส

โดยเนื้อหาหลัก ๆ ซีรีส์จะโฟกัสไปที่ตัวหญิงสาวที่เคยอยู่ในลัทธิ ซึ่งการสัมภาษณ์จะเริ่มตั้งแต่การย้อนไปยังช่วงเวลาที่เธอมีความสนุก และการใช้ชีวิตในสถานที่แห่งนั้น ก่อนที่พวกเธอจะค่อย ๆ พบกับความผิดปกติมากมาย ที่ทำให้พวกเธอมองที่นี่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ซึ่งส่วนนี้ซีรีส์สามารถถ่ายทอดบรรยากาศที่กระอักกระอ่วน สะเทือนอารมณ์ได้อย่างถึงอารมณ์ ประกอบกับภาพฟุตเทจของพิธีกรรมอันแปลกประหลาดมากมายที่เพิ่มอรรถรสมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าตัวซีรีส์จะไม่ได้มีภาพ หรือพูดถึงความรุนแรง โหดเหี้ยม เหมือนซีรีส์อาชญากรรมเรื่องอื่น ๆ แต่ความพิเศษของ Keep Sweet: Pray and Obey คือการให้อรรถรสเดียวกับหนังแนวลัทธิมากมาย ที่ตลอดทั้งเรื่องผู้ชมอยากลุ้น อยากเอาใจช่วยให้ตัวละครหนีพ้นจากลัทธินี้ แม้ว่าบางช่วงจะรู้สึกว่าเนื้อหาของซีรีส์วนอยู่กับที่ไปบ้าง แต่ก็นับได้ว่าเป็นซีรีส์ที่ตีแผ่วงการลัทธิได้ดีมาก ๆ เรื่องหนึ่ง

โดยรวม Keep Sweet: Prey and Obey เป็นซีรีส์สารคดีที่เล่าเรื่องออกมาได้สนุก ตื่นเต้นอีกเรื่อง ตัวสารคดีสามารถถ่ายทอดบรรยากาศอันน่าขนลุกของลัทธิได้อย่างเห็นภาพชัดเจน ใครที่ชอบประเด็นเกี่ยวกับลัทธินิกรีด ตีแผ่ด้านมืดของคนเหล่านี้ แนะนำว่าไม่ควรพลาด

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง