Categories
series

รีวิวซีรีส์ Deadloch season 1: ซีรีส์สืบสวนอารมณ์ดี ที่มาพร้อมบริบทท่ีไม่เหมือนใคร

ผลงานซีรีส์สืบสวน คอเมดี้ สัญขาติอังกฤษจาก Prime Video โดยเป็นงานสร้างสรรค์โดย เคท แมคคาร์ทนีย์ และเคท แมคเลนนอน (ซีรีส์ Get Kracl!n) ซึ่งตัวซีรีส์ Deadloch เรียกได้ว่ามาพร้อมสูตรสำเร็จของซีรีส์สืบสวนยุคหลังๆ ที่จะเป็นการเล่าคดีในเกาะ หรือเมืองเล็กๆ และมีทีมนักสืบท้องถิ่น ที่ต้องสืบสวนกับเหล่าเพื่อนบ้าน หรือผู้คนบนเกาะ

เรื่องราวของซีรีส์จะพูดถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ได้เกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องปริศนา โดยเหยื่อทุกรายของฆาตกร จะเป็นผู้ชาย และถูกตัดลิ้นออกไป โดยผู้รับผิดชอบคดีนี้คือ ดัลซี่ คอลลิน (เคท บ็อกซ์) เจ้าหน้าที่นักสืบสาวมากประสบการณ์ ที่ครั้งนี้เธอต้องร่วมมือกับ เอ็ดดี้ (เมเดริน ซามิ) เจ้าหน้าที่นักสืบจากส่วนกลางที่เข้ามาร่วมสืบคดีนี้ในฐานะคนนอก ซึ่งเมื่อสืบคดีนี้ไปเรื่อยๆ ก็ได้พบว่าฆาตกรก็ฆ่าคนมากยิ่งขึ่น และมีความเป็นไปได้ว่าฆาตกรจะเป็นคนที่ผู้คนบนเกาะนี้คุ้นเคยเป็นอย่างดี

แม้ว่าในด้านพลอตเรื่อง และเนื้อหาภาพรวม Deadloch จะไม่ต่างจากซีรีส์สืบสวนเรื่องอื่นๆ ของอังกฤษ ที่มีการเล่าผ่านตัวละครตำรวจที่เป็นทีม และเล่าผ่านเหตุการณ์ในเมืองชนบท แต่ความไม่ซ้ำใครของซีรีส์คือการเปลี่ยนคาแรคเตอร์ที่ส่วนใหญ่เป็นนักสืบชาย เป็นตัวละครนักสืบหญิงรุ่นใหญ่แทน ทำให้เราได้เห็นบริบท มุมมองใหม่ๆ ของนักสืบที่ไม่เหมือนซีรีส์เรื่องอื่นๆ นอกจากนี้ซีรีส์ยังเพิ่มความเป็นคอเมดี้ เบาสมองเข้าไปในซีรีส์ เพื่อเพิ่มสีสันให้การเล่าเรื่อง

ด้านการสืบสวน ซีรีส์ทำออกมาได้อย่างสนุกไม่แพ้ซีรีส์สืบสวนดังๆ มีการสืบหาคนร้ายที่ชวนติดตาม โดบเฉพาะการเล่ากับตัวฆาตกรต่อเนื่อง ที่ในเรื่องนี้มีความลึกลับ ซับซ้อนกว่า ตรงที่เหยื่อในเรื่องมีมากกว่า 5 ราย พร้อมวิธีการฆาตกรรมในเรื่องทำได้น่ากลัว ทำให้แต่ละตอนคนดูจะได้ลุ้นว่าใครคือเหยื่อ และเพิ่มความอยากรู้ว่าใครคือคนร้าย

นอกจากพาร์ทสืบสวนที่ทำได้ดีแล้ว ด้านพาร์ทคอเมดี้ ก็นับว่าเป็นสีสันชั้นดีให้กับซีรีส์ โดยที่ไม่ทำให้พาร์ทสืบสวนดูดรอปลง ด้วยคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละครที่มีเสน่ห์ และบุคลิกที่ตายตัว โดยเฉพาะคาแรคเตอร์ของเอ็ดดี้ ที่มีความกวนโอ๊ยแบบคุณป้า รวมถึงตัวละครในทีมคนอื่นๆ ที่ดูแล้วชวนขำ ในแทบทุกตอน ทำให้นี่เป็นซีรีส์สืบสวนที่เบาสมองกว่าเรื่อง

โดยรวม Deadloch season 1 คืออีกหนึ่งงานซีรีส์สืบสวนที่ทำออกมาได้อย่างสนุก ซีรีส์มีพาร์ทสืบสวนที่เข้มข้น เคล้าด้วยมุกตลกที่เพิ่มความบันเทิงในแต่ละตอน เป็นซีรีส์ที่ดูจบแล้วจะหลงรักทุกตัวละคร และชวนให้เราอยากติดตามเรื่องราวในซีซั่นต่อๆ ไป

สามารถรับชมซีรีส์ Deadloch ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
Uncategorized

รีวิวซีรีส์ The Crowded Room: ซีรีส์ดราม่า อาชญากรรม เนื้อหาเข้มข้น

ผลงาน Mini Series จาก Apple TV+ สร้างสรรค์โดย อกิวะ โกลด์แมน (A beautiful Mind) และ ท้อดด์ กราฟฟ์ (The Vanishing) โดยเป็นงานที่แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ  “The Minds of Billy Milligan” ของ แดเนียล เคเยส พร้อมทั้งได้นักแสดงดังอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ (Spider-Man: No Way Home) และ อแมนดา ไซเฟรด (ซีรีส์ The Dropout) มารับบทนำ

เรื่องราวของ The Crowded จะว่าด้วย แดนนี่ (ทอม ฮอลแลนด์) เด็กหนุ่มที่เติบโตมาอย่างโดดเดี่ยว และเขายังไม่ถูกกับพ่อเลี้ยง ทำให้เขาเลือกที่จะย้ายไปอยู่อาศัยกับเพื่อนบ้าน จนกระทั่งวันหนึ่ง แดนนี่ ได้ก่อเหตุยิงปืนในที่สาธารณะ เพื่อสังหารพ่อเลี้ยงของตนเอง จนทำให้แดนนี่ต้องถูกจำคุกในระหว่างนั้นเอง รายา (อแมนดา ไซเฟรด) ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาได้รับมอบหมายให้มาสัมภาษณ์แดนนี่ เพื่อหาแรงจูงใจ และคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ จนทำให้เธอได้พบความจริงสุดช็อคบางอย่างของแดนนี่

The Crowded Room คือซีรีส์ดราม่า อาชญากรรม ที่มาพร้อมความยาว 10 ตอน โดยซีรีส์จะแบ่งเหตุการณ์เป็นสองเส้นเรื่อง คือเส้นเรื่องปัจจุบันที่เป็นการสัมภาษณ์​ และเส้นเรื่องในอดีต ที่เป็นการไขความจริงทั้งหมดของตัวแดนนี่ นอกจากนี้ยังมาพร้อมลูกเล่นแบบซีรีส์ Dahmer ของ Netflix ที่เลือกจะเล่าเหตุการณ์โดยไม่เรียงลำดับเวลา แต่ในระหว่างทางซีรีส์จะให้คนดูค่อยๆ ปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยตนเอง

ปัญหาของซีรีส์ The Crowded Room คือการที่ซีรีส์พยายามกั้กไฮไลท์ของเรื่องไว้เยอะเกินไป โดยตลอด 5 ตอนแรกของซีรีส์ เลือกที่จะไม่เผยความลับใดๆ ก่อนที่จะมาเผยในช่วง 5 ตอนสุดท้าย ทำให้ครึ่งแรกของซีรีส์เต็มไปด้วยพาร์ทดราม่าที่ยาวเกินจำเป็น บางช่วงค่อนข้างน่าเบื่อ และดูไม่จำเป็นต่อเนื้อเรื่อง

ในขณะที่ครึ่งท้ายของซีรีส์ กลับทำได้อย่างดีเยี่ยม ซีรีส์เต็มไปด้วยประเด็นที่ชวนติดตาม ทั้งพาร์ทดราม่าที่ดูหนักหน่วง จังหวะการเฉลยความจริงที่เหนือความคาดหมาย เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ชวนกดดัน หดหู่ และสะเทือนอารมณ์ ด้วยความที่ซีรีส์พยายามพูดถึงเรื่องอาการซึมเศร้า โดดเดี่ยว ที่มาจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างหนักต่อคนที่มีความเครียด หรือคนที่เป็นโรคซึมเศร้าอยู่ไม่น้อย

ด้านการแสดงของขอชื่นชม ทอม ฮอลแลนด์ ที่มอบหนึ่งในบทบาทที่ยอดเยี่ยมที่สุดในซีรีส์ชุดนี้ เขาสามารถถ่ายทอดความโดดเดี่ยว ความสับสน อ้างว้าง ของตัวละครแดนนี่ ได้อย่างยอดเยี่ยม จนไม่แปลกใจที่บทๆ นี้จะทำให้ ทอม ไม่สามารถถอดบทบาทนี้จากหัวได้ จนต้องพักงานแสดง ในขณะที่ อแมนดา ไซเฟรด ก็ยังช่วยส่งอารมณ์ได้ดีไม่แพ้กัน ซึ่งช่วยยกระดับพาร์ทดราม่าของซีรีส์ให้ทรงพลังมากขึ้น

โดยรวม The Crowded Room คืออีกหนึ่งซีรีส์อาชญากรรม ที่ดูสนุกไม่แพ้ Dahmer แม้เรื่องราวในซีรีส์ครึ่งแรกจะน่าเบื่อไปบ้าง แต่หากดูจนจบ คุณจะพบกับเรื่องราวดราม่าที่ทรงพลัง ชวนติดตาม และเปี่ยมด้วยแง่คิดดีๆ ไม่แพ้ซีรีส์คุณภาพหลายๆ เรื่องง

สามารถรับชมซีรีส์ The Crowded Room ได้แล้ววันนี้ที่ Apple TV+

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Man in the High Castle season 1

The Man in the High Castle คือหนึ่งในผลงานซีรีส์ฟอร์มยักษ์ยุคแรกๆ จาก Prime Video โดยเป็นซีรีส์แนวดิสโทเปีย ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ ฟิลลิป เค ดิค ซึ่งเวอร์ชั่นซีรีส์สร้างสรรค์โดย แฟรงค์ สปุตนิค (ซีรีส์ Ransom) พร้อมได้ผู้กำกับรุ่นใหญ่อย่าง ริดลีย์ สก้อตต์ (The Last Duel) มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง

เรื่องราวของ The Man in the High Castle จะว่าด้วยโลกในรูปแบบ What if ว่าจะเป็นอย่างไรหากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงด้วยชัยชนะของนาซีเยอรมัน และญี่ปุ่น ในขณะที่ฝั่งสัมพันธมิตรตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ตัวซีรีส์จะเล่าเหตุการณ์ในช่วงปี 1960 ผ่านตัวละคร จูเลียนา เครน (อเลกซา ดาวาลอส) หญิงสาวที่พบว่าน้องสาวของตนได้ถูกฆ่าตายโดยทหารญึ่นปุ่น เพราะเธอนั้นไปเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้าน โดยก่อนตายเธอได้ฝากฟิล์มหนังม้วนหนึ่งไว้กับจูเลยนา ซึ่งฟิล์มหนังนี้ได้ซ่อนความลับที่เหล่านาซี และญี่ปุ่น ต่างไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้

ตัวซีรีส์ค่อนข้างมาพร้อมโปรดักชัน การออกแบบเนื้อหาเรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งภาพรวมยังคงเป็นการเคารพต้นฉบับหนังสือ มีการพูดถึงบริบทของเหล่าทหารนาซี และญี่ปุ่น ในประเทศอเมริกา การดีไซน์เมือง และสังคมของผู้คนที่ต้องอยู่ใต้การปกครองของสองประเทศดังกล่าว ซึ่งซีรีส์ก็รังสรรค์ได้อย่างละเอียด และน่าตื่นตาตื่นใจราวกับหนังไซไฟฟอร์มยักษ์

ความน่าติดตามของซีรีส์ คือการผสมผสผานหลากหลายเนื้อหา หลายแนวเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทการเมือง ที่พูดถึงความขัดแย้งกันเองของญี่ปุ่น และเยอรมันที่แย่งชิงอำนาจทางการเมืองอย่างลับๆ, มีพาร์ทสืบสวน ระทึกขวัญ ที่เป็นการสืบหาตัวตนของสายลับ การหักเหลี่ยมเฉือนคมของตัวละคร และพาร์ทโรแมนติก ที่พูดถึงความรักสามเศร้าของตัวละครหลักในเรื่อง ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกผูกโยงเป็นเส้นเรื่องเดียวกันที่ทำให้ตลอด 10 ตอนของซีรีส์เต็มไปด้วยความน่าติดตาม

การเดินเรื่องของซีรีส์ สามารถทำออกมาได้อย่างสนุก กระชับ ไม่ยืดเยื้อ หรือยาวจนเกินไป แต่ละตอนซีรีส์สามารถจัดสรรเนื้อหาแต่ละพาร์ทได้อย่างเหมาะสมลงตัว ทำให้ผู้ชมสามารถรู้สึกร่วมไปกับตัวละคร ทั้งฝั่งตัวดี และวายร้ายของเรื่อง พร้อมทั้งปูปมไปสู่ซีซั่นที่ 2 ได้อย่างน่าสนใจ

การแสดงของทีมนักแสดงนำในซีรีส์ต่างก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะ อเลกซา ดาวาลอส ที่เป็นตัวละครหลักของเรื่อง ที่นอกจากในเรื่องนี้เธอจะพราวเสน่ห์มากๆ แล้ว ยังเป็นคนที่แบกซีรีส์ไว้อย่างอย่างน่าชื่นชม ไม่แพ้ ลูฟัส ซีเวล (Old) ที่รับบทวายร้ายหลักของเรื่องที่มีมิติ และเต็มไปด้วยความดำมืดในจิตใจที่น่าค้นหา

โดยรวม The Man in the High Castle season 1 คือการเปิดตัวเรื่องราวของซีรีส์ฟอร์มยักษ์ ที่สร้างเนื้อหาได้อย่างยิ่งใหญ่ ซีรีส์สามารถถ่ายทอดโลกในฉบับ What if ได้สมจริง และเต็มไปด้วยประเด็นที่อยากให้คนดูอยากรู้ อยากติดตามว่าเนื้อหาของซีรีส์จะลงเอยอย่างไร

สามารถรับชมซีรีส์ The Man in the High Castle season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Enigma: ซีรีส์ดาร์กแฟนตาซีไทย ที่เล่าออกมาได้สนุก ครบรส

ผลงานซีรีส์ไทยบน Prime Video โดยช่อง Gmm TV และ ภาพดี ทวีสุข โดย Enigma คือซีรีส์แนวดาร์กแฟนตาซี สยองขวัญ ผลงานการสร้างสรรค์โดย โอ-ปัฏฐา ทองปาน ที่เคยมีผลงานในซีรีส์ เพื่อนเฮี้ยน โรงเรียนหลอน ตอน “อจิยไตย”

สำหรับ Enigma จะเล่าเรื่องราวของโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยการจัดอันดับ และการแข่งขันการเรียนดี ฟา (พรีม-ชนิกานต์ ตังกบดี) หนึ่งในนักเรียนหัวกะทิ ที่เธอได้พบว่าจู่ๆ เพื่อนๆ ในโรงเรียนก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ในขณะเดียวกันก็ได้มีอาจารย์คนใหม่เข้ามาสอน ชื่อว่า อาจิน (วิน-เมธวิน โอภาสเอี่ยมขจร) ที่มีบุคลิกที่ชวนน่าสงสัย ทำให้ ฟา ตัดสินใจสืบหาความจริงของเรื่องทั้งหมด ว่าอะไรคือสาเหตุของเรื่องแปลกๆ ทั้งหมด และครูคนใหม่นี้คือใคร มีจุดหมายอะไรกันแน่

ตัวซีรีส์มาพร้อมการเล่าเรื่องแนวถนัดของ GMM ที่จะเน้นพูดถึงชีวิตในวัยเรียน ผสมผสานกับเรื่อราวเหนือธรรมชาติ โดยในเรื่องนี้เลือกที่จะพูดถึงเรื่องคุณไสย การทำของ แต่เมื่ออยู่ในบริบทของซีรีส์วัยรุ่น ทำให้เรื่องไสยศาสตร์ในเรื่องมีความร่วมสมัย มีการต่อสู้ด้วยพลังพิเศษ ผสมผสานกับความเป็นซีรีส์สืบสวน ที่ทำได้ค่อนข้างกลมกล่อมลงตัว

ด้านงานโปรดักชัน ซีรีส์ทำออกมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะงานฉากสยองขวัญ ที่แม้จะไม่ได้มีผีสาง หรือปีศาจออกมา แต่ตัวซีรีส์ก็สามารถถ่ายทอดฉากของคนโดนของได้อย่างชวนน่าขนลุก มีการเล่นกับจังหวะหลอนๆ แบบที่เคยใช้ใน อจินไตย นอกจากนี้ยังมีการสร้างสรรค์ฉากแอ็คชันแบบคนเล่นของ ได้อย่างชวนลุ้น ให้อารมณ์เหมือนดูหนังไลฟ์แอ็คชัน

นอกจากพาร์ทสยองขวัญที่ทำได้ดีแล้ว พาร์ทดราม่าของซีรีส์ก็ทำได้ดี โดย Enigma เลือกที่จะพูดถึงประเด็นการจัดอันดับ การแข่งขัน ในโรงเรียน ได้อย่างถึงพริกถึงขิง ตัวซีรีส์ได้วิพากษ์ระบบการศึกษาไทย ที่ปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นหาตัวตน และสะท้อนภาพการเรียนที่หนักเกินไป จนสร้างความเครียด กดดัน ในโรงเรียน และนำมาสู่เรื่องสะเทือนขวัญที่เราสามารถเห็นได้จากทั้งในข่าว และในหนัง/ซีรีส์

แต่ด้วยความที่เป็นงานโดย GMM TV ที่มีจุดขายความเป็นซีรีส์รักวัยรุ่น ทำให้หลายพาร์ทของซีรีส์พยายามใส่โมเมนต์ความเป็นรอมคอม ที่ให้พระนาง ได้มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน แม้ภายนอกจะดูไม่เหมาะสมที่เลือกที่ความสัมพันธ์ระหว่างครูและนักเรียน แต่ด้วยบทที่ไม่ได้ขายความสัมพันธ์ชู้สาวเกินไป ประกอบกับเคมีของสองนักแสดงนำที่รับส่งบทได้เป็นอย่างดี ทำให้พาร์ทพระนางในซีรีส์ออกมาดูน่ารัก และเพิ่มสีสันให้ซีรีส์ได้ไม่น้อย

โดยรวม Enigma คืองานซีรีส์ไทย ที่ผสมสานความเป็นโรแมนติก เข้ากับเรื่องคุณไสย เรื่องสยองขวัญ ได้อย่างลงตัว ซีรีส์มีพาร์ทที่น่ากลัวสุดๆ มีการสืบสวนที่เข้มข้น เคล้าด้วยพาร์ทดราม่า และโรแมนติก ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว

สามารถรับชมซีรีส์ Enigma ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Mask Girl: ซีรีส์อาชญากรรม ระทึกขวัญ

Mask Girl คือผลงานซีรีส์แนว อาชญากรรม ระทึกขวัญ จากเกาหลี ที่ดัดแปลงมาจากเว็บตูน ตัวซีรีส์จะว่าด้วยเรื่องราวของ คิมโมมิ หญิงสาวที่เมื่อวัยเด็กเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นดารา และเป็นคนที่มอบความสุขให้ทุกคน แต่ทว่าเมื่อเติบโตขึ้น โมมิ ก็ได้พบว่าหน้าตาของเธอค่อนข้างดูธรรมดา และไม่ได้สวยงามแบบพิมพ์นิยม ทำให้โมมิ ค่อยๆ ถูกเมินจากแสงสี และกลายเป็นคนธรรมดาสามัญในท้ายที่สุด

จนกระทั่ง โมมิ ได้สร้างอีกตัวตนขึ้นมาในชื่อว่า Mask Girl ด้วยการที่เธอเลือกสวมหน้ากาก และเป็นเนตไอด้อลสายเซ้กซี่ จนมีผู้คนมาสนใจเธอ แต่ทว่าชื่อเสียงของตัวตนนี้ของเธอกลับนำพาให้เธอพบกับเรื่องไม่คาดฝันมากมาย จนนำมาสู่การฆาตกรรมนองเลือด ที่จะเปลี่ยนชีวิตเธอ และคนรอบข้างไปตลอดกาล

Mask Girl เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในซีรีส์เกาหลีที่มาพร้อมสไตล์การนำเสนอที่ไม่ค่อยเห็นได้บ่อยนัก โดยซีรีส์จะมาพร้อมกับความยาว 7 ตอน รูปแบบการเล่าเรื่องจะถูกแบ่งการนำเสนอ ในแต่ละตอนจะเล่าผ่านมุมมองของแต่ละตัวละคร เหมือนหนัง Rashomon พร้อมทั้งการเล่าเรื่องที่ผสมสานระหว่าง ดราม่า คอเมดี้ สืบสวนสอบสวน และอาชญากรรม ได้อย่างลงตัว

จุดเด่นของ Mask Girl คือการเลือกประเด็นในการนำเสนอ หนังหยิบเรื่อง Beauty Standard ของสังคมเกาหลีในปัจจุบัน มานำเสนอ เพื่อเปรียบเทียบถึงโอกาสชีวิตของคนที่หน้าตาดี และคนหน้าตาไม่ดี นอกจากนี้ยังมีประเด็นการกดขี่ของสังคมที่ชายเป็นใหญ่ ในขณะที่ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องมือ และยังมีการสอดแทรกประเด็นที่เรามักเห็นในหนังเกาหลีส่วนใหญ่อย่างเรื่องการรังแกในโรงเรียน ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกสอดแทรกในซีรีส์ผ่านชีวิตของตัวละครแต่ละตัวในเรื่อง ที่ผูกโยงกันเป็นเรื่องราวเดียวในเรื่อง

ตัวซีรีส์ค่อนข้างมีเนื้อหาที่แรงกว่าซีรีส์เกาหลีทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้ความรุนแรง คำหยาบ และพฤติกรรมของตัวละคร ที่บางฉากดูแล้วอาจสะเทือนอารมณ์คนดูได้ไม่น้อย แต่ด้วยความสมจริงของเนื้อหานี้เองที่ทำให้ซีรีส์สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม 

ในช่วง 4 ตอนแรกของซีรีส์ค่อนข้างทำได้อย่างเข้มข้น มีความเป็นหนังอาชญากรรมที่ทั้งดาร์ก ทั้งตลก และนำเสนอแต่ละตัวละครหลักในเรื่องได้อย่างมีมิติที่อยากให้คนดูอยากร่วมเอาใจช่วย และติดตามต่อไป ก่อนที่เหตุการณ์ในเรื่องจะค่อยๆ ปานปลาย สู่เหตุการณ์ใน 3 ตอนท้าย ที่ค่อนข้างฉีกจากพาร์ทแรกโดยสิ้นเชิง แต่ถึงกระนั้นซีรีส์ก็หาจุดจบของเรื่องราวได้อย่างสวยงามอย่างที่ควรจะเป็น

การแสดงในเรื่องนี้ ต้องขอชื่นชม ยอมฮเยรัน ที่รับบทเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง ซึ่งบทบาทของเธอมีทั้งบทที่ดาร์กขั้นสุด และมีพาร์ทดราม่าที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ขั้นสุด ซึ่งเธอก็สามารถนำเสนอบทบาทนี้ได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ จนกลายเป็นบทบาทที่โดดเด่น และน่าจดจำในซีรีส์เรื่องนี้ก็ว่าได้

โดยรวม Mask Girl คือซีรีส์เกาหลีที่ผสมผสานระหว่างความเป็น ดราม่า อาชญากรรม และระทึกขวัญ ได้อย่างลงตัว ซีรีส์มีความสนุกที่ครบรส และสามารถสะท้อนภาพการใช้ชีวิตในสังคมยุคนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา แบบที่ดูจบแล้วผู้ชมได้เกิดบทเรียน และข้อคิดบางอย่างจากโศกนาฎกรรมที่เกิดในเรื่อง

สามารถรับชมซีรีส์ Mask Girl ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: HanCinema

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์​ Citadel: ซีรีส์แอ็คชันฟอร์มยักษ์

Citadel เป็นอีกหนึ่งซีรีส์แนวสายลับฟอร์มยักษ์จาก Prime Video ที่ถูกวางให้เป็นแฟรนไชส์ชุดใหม่ขอสตรีมนี้ โดยเป็นผลงานการสร้างสรรค์โดย เดวิด เวล (ซีรีส์​ Hunters), ไบรอัน โอ และจอช อเพลบัม (ซีรีส์​ Life on Mars) พร้อมได้ โจ และแอนโธนี่ รุสโซ (Avengers: Endgame) มารับหน้าที่อำนวยการสร้าง นำแสดงโดย ริชาร์ด เมดเดน (Eternals), พริยันก้า โชปรา โจนาส (Barfi), สแตนลีย์ ทุชชี (The King’s Man) และ แอชลีห์ คัมมิง (The Goldfinch)

เรื่องราวของ Citadel จะว่าด้วยหน่วยสายลับที่มีชื่อเดียวกับชื่อเรื่อง ที่ทำหน้าที่ปกป้องโลกจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายอย่างลับๆ แต่ทว่าในระหว่างทำภารกิจหนึ่งของ เมสัน เคน (ริชาร์ด เมดเดน) และนาเดย ซิงห์ (พริยันก้า โชปรา โจนาส) พวกเขาได้พบว่ามันเป็นกับดักของกลุ่มผู้ก่อการร้ายมากอำนาจ จนทำให้ภารกิจนั้นผิดพลาด และทำให้ทั้งสองต้องสูญเสียความทรงจำไปนานกว่า 8 ปี จนกระทั่งทั้งสองต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง เพื่อสะสางภารกิจที่ค้างไว้ พร้อมทั้งหาตัวไส้ศึกที่ซ่อนตัวอยู่ในองค์กร

Citadel เป็นซีรีส์ที่มาพร้อมการเล่าเรื่องสูตรสำเร็จของหนังสายลับ ที่แฟนซีรีส์ของ Prime Video น่าจะพอคุ้นเเคยจากซีรีส์ Jack Ryan ซึ่งในซีรีส์ก็พร้อมปล่อยของแบบจัดหนักจัดเต็ม ตั้งแต่ EP. แรก ที่เปิดตัวด้วยฉากแอ็คชั่นบนรถไฟ ที่ทั้งระทึก ตื่นตาตื่นใจ สมกับเป็นซีรีส์สายลับฟอร์มยักษ์

แต่ทว่าหลังจากนั้นซีรีส์กลับค่อยๆ ดรอปลงในหลายๆ ด้านอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นบทของซีรีส์ ที่เดินเรื่องอย่างรวดเร็ว ฉับไว จนเนื้อหาขาดเสน่ห์ หลายจุดเต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะในช่วง 3 EP ท้ายของซีซั่นแรก ที่ซีรีส์เลือกที่จะเล่าเรื่องแบบสลับเส้นเรื่องปัจจุบัน และอดีต จนเนื้อหาหลักของซีรีส์วนอยู่กับที่

ในขณะเดียวกันฉากแอ็คชั่นของซีรีส์ก็ไม่สามารถสร้างความดึงดูดให้กับคนดูได้เท่าที่ควร หลายฉากดูเป็นฉากบู๊ทั่วไป ที่ไม่ได้มีความแปลกใหม่หวือหวา แต่ด้วยงานโปรดักชันที่เล่นใหญ่ ที่ยังพอไปวัดไปวา และทำให้ซีรีส์ชุดนี้มีความโดดเด่นขึ้นมาบ้าง

นอกจากนี้ อีกหนึ่งจุดขายของ Citadel คือการที่ซีรีส์พร้อมหักหลังคนดูได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะในช่วงท้ายของซีรีส์ ที่เต็มไปด้วยจุดหักมุมแบบที่คาดไม่ถึงมากมาย และการทิ้งปมใหญ่ๆ ให้คนดูอยากติดตามเรื่องราวของซีรีส์ในซีซั่นต่อๆ ไป

โดยรวม Citadel นับว่าเป็นซีรีส์สายลับเน้นขายงานโปรดักชัน ที่พอดูได้เพลินๆ ตัวซีรีส์ยังมีกลิ่นอายของความเป็นหนังของพี่น้องรุสโซ่ ที่มีฉากแอ็คชั่นเดือดๆ และเกินจริง แต่ด้วยบทที่สูตรสำเร็จจนเกินไป อาจทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้แปลกใหม่ หรือฉีกกรอบกฎเกณฑ์ของหนังสายลับที่คุ้นเคยแต่อย่างใด

สามารถรับชมซีรีส์ Citadel ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Rotten Tomatoes

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Horror of Dolores Roach: ซีรีส์อาชญากรรม ตลกร้าย

ซีรีส์แนวอาชญากรรมจาก Prime Video ผลงานการสร้างสรรค์โดย แอร่อน มาร์ค ที่ได้หยิบพอดแคสท์แนวคดีฆาตกรรมของเขามาดัดแปลง พร้อมได้ เจสัน บลัม มารับหน้าที่ร่วมอำนวยการสร้าง นำแสดงโดย จัสตินา มาชาโด (ซีรีส์ Six Feet Under) และ อเลฮานโดร เฮอร์นันเดซ (ซีรีส์ News Amsterdam),

เรื่องราวของ The Horror of Dolores Roach จะว่าด้วย โดโลเรส (จัสตินา มาชาโด) หญิงวัยกลางคนที่เธอต้องติดคุกเพราะข้อหาค้ากัญชาไปนานถึง 16 ปี จนกระทั่งเมื่อเธอออกมาใช้ชีวิตข้างนอก เธอก็ต้องดิ้นรนเพื่อสร้างตัวใหม่ด้วยการหาที่อยู่ และงานทำ จนกระทั่งเธอได้พบกับ ลูอิส (อเลฮานโดร เฮอร์นันเดซ) อดีตเด็กหนุ่มที่เธอเคยรู้จักที่ตอนนี้เปิดร้านขชายขนมอยู่ ซึ่งลูอิส ก็ได้ช่วยเหลือเธอด้วยการให้ โดโลเรส พักที่ชั้นล่างของร้าน และให้เธอทำธุรกิจร้านนวดของตัวเอง แต่ทว่าระหว่างที่เธออยู่กับ ลูอิส ก็เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนของชีวิตที่ทำให้เธอต้องกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง

The Horror of Dolores Roach คือหนึ่งในซีรีส์ม้ามืดของ Prime Video ประจำปีนี้ เพราะนี่คืออีกหนึ่งซีรีส์ที่คนรักรายการ True Crime จะต้องชื่นชอบ เพราะซีรีส์มีครบทุกองค์ประกอบยอดนิยมของรายการเหล่านี้ ทั้งฆาตกรต่อเนื่อง การกินคน และการสืบสวนสุดเข้มข้น

ตัวซีรีส์สามารถเล่าเรื่องได้อย่างชวนติดตาม ด้วยความยาวเพียงตอนละ 30 นาที ทำให้เนื้อหาของซีรีส์ไม่ยืดเยื้อเกิด แต่ละตอนซีรีส์สามารถเลือกฉากจบที่โยงสู่ตอนต่อๆ ไปได้อย่างลงตัวจนคนดูอยากกดดูตอนต่อไปทันที

การเล่าเรื่องของซีรีส์จะมาพร้อมความโหด ความสยองสไตล์ของ เจสัน บลัม ที่จะไม่รุนแรง โหดร้ายจนถึงระดับเรท R แต่จะพอมีฉากที่รุนแรง โหดร้ายอยู่ประปรายตลอดทั้งเรื่อง เช่น ฉากการฆาตกรรม ฉากการแร่ศพ เป็นต้น แต่ทั้งนี้ซีรีส์เลือกที่จะนำเสนอในธีมตลกร้าย ผสมกับพาร์ทสืบสวนสุดเข้มข้น เลยช่วยลดความหดหู่ของซีรีส์ลงไป ทำให้ซีรีส์ไม่ดูน่ากลัวเท่ากับ Dahmer ของ Netflix เมื่อปีที่แล้ว

นอกจากนี้ซีรีส์ยังเลือกที่จะเล่นประเด็นอาชญากรรมที่เข้มข้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าของซีรีส์ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ตัวซีรีส์นำเสนอการดิ้นรนของเหล่าชนชั้นล่างของนิวยอร์ก ที่ทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยตัวโดโลเรส ไปตลอดทั้งเรื่อง มีการพูดถึงการเอาเปรียบผู้คนในด้านต่างๆ ที่นำมาสู่เหตุการณ์การล้างแค้นในเรื่อง ซึ่งซีรีส์ก็เล่าออกมาแบบดาร์กคอเมดี้ ที่จิกกัดแบบอ้อมๆ แต่ทำออกมาได้ทรงพลัง

ด้านการแสดงต้องขอชื่นชม จัสตินา มาชาโด ที่ถ่ายทอดบทโดโลเรส ได้อย่างมีมิติ เธอสามารถทำให้คนดูอยากเอาใจช่วยตัวละครตัวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากนี้เคมีการแสดงของเธอ และ อเลฮานโดร ก็รับส่งบทได้เป็นอย่างดี จนกลายเป็นสองตัวละครนักเชือดที่น่าจดจำมากๆ

โดยรวม The Horror of Dolores Roach คืออีกหนึ่งซีรีส์อาชญากรรม ที่คอหนังแนวนี้จะต้องชอบ ด้วยองค์ประกอบการเป็นซีรีส์แนวฆาตกรรมที่ครบถ้วน มีการเล่าเรื่องที่กระชับ สนุก เต็มไปด้วยจุดพีคมากมาย แบบที่ต้องดูรวดเดียวจบ

สามารถรับชมซีรีส์ The Horror of Dolores Roach ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวสารคดี The Lost Leonardo: สารคดีที่เล่าเรื่องราวของภาพ

หากพูดถึง ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะในแง่ของศิลปะ ที่ ดาวินชี่ คือหนึ่งในบุคคลสำคัญจากยุคเรเนอซองค์ ที่ผู้คนทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้หนึ่งในภาพวาดของ ดาวินชี่ ที่ได้เป็นกระแสในวงกว้างคือ ซัลวาดอร์ มุนดิ หนึ่งในภาพวาดที่ (เชื่อว่า) เป็นผลงานของ ดาวินชี่ ที่สูญหายไปกว่าร้อยปี แต่ถูกค้นพบอีกครั้ง พร้อมถูกบูรณะใหม่

The Lost Leonardo คือผลงานหนังสารคดีที่กำกับโดย อังเดรียส โคฟอร์ด ที่นำเสนอเรื่องราวของภาพวาด ซัลวาดอร์ มุนดิ ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบภาพวาดชิ้นนี้ ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ที่ชวนน่าค้นหามากมาย และการชื่นชมผลงานนี้ในฐานะงานศิลปะจากสุดยอดศิลปิน ซึ่งความที่ ซัลวาดอร์ มุนดิ เต็มไปด้วยปูมหลังที่ไม่ธรรมดานี่เอง ทำให้ภาพนี้ได้ถูกโยงสู่เรื่องการเมือง และการแย่งชิงมากมาย ที่ส่งผลให้ภาพวาดนี้มีราคาถึง 400 ล้านเหรียญฯ

ด้วยความที่ตัวเรื่องราวของภาพวาดเต็มไปด้วยมิติต่างๆ ที่น่าสนใจ น่าค้นหา ทำให้ The Lost Leonardoท เป็นมากกว่าสารคดีศิลปะ ที่สัมภาษณ์ผู้คน และชื่นชมความงามเพียงอย่างเดียว แต่ในเรื่องนี้ผู้ชมจะได้ไปร่วมค้นหาคำตอบ และทฤษฎีมากมายที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดนี้ พร้อมทั้งยังมีการนำเสนอสงครามการแย่งชิงภาพวาดนี้ของเหล่าคนมหาเศรษฐี ผู้มีอำนาจ ที่นำมาสู่เหตุการณ์สุดเข้มข้นมากมาย

ในด้านการเล่าเรื่อง The Lost Leonardo ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ของเหล่าผู้คนในวงการศิลปะทั่วโลก มาร่วมถกเถียงถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับภาพวาด ซึ่งเต็มไปด้วยการถกประเด็นต่างๆ ที่สนุก เข้มข้น เคล้าด้วยสาระความรู้ตามสูตรของหนังสารคดี

แต่ส่วนที่เกินคาดมากๆ ของสารคดีเรื่องนี้คือ การโยงประเด็นการเมืองที่เข้ามามีบทบาทต่อภาพวาดนี้ ไม่ว่าจะเป็น การครอบครองภาพวาดนี้โดยผู้มีอำนาจของรัสเซีย ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนมือมาสู่เจ้าของใหม่คือเจ้าชายซาอุฯ ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับภาพวาดนี้มาจนทุกวันนี้ ที่น่าชื่นชมคือผู้สร้างสารคดีได้ถ่ายทอดประเด็นต่างๆ ออกมาแบบกำลังดี ทำให้ได้ส่วนผสมของสาระความรู้ และความบันเทิง ที่ลงตัวกำลังดี

หากใครที่ชื่นชอบ ดาวินชี่ หรือเรื่องราวศิลปะที่เต็มไปด้วยสาระ เบื้องหลัง ที่น่าลึกลับ น่าสนใจ The Lost Leonardo คืออีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาด ตัวสารคดีผสมผสานความเป็นสารคดีความรู้ และความบันเทิง ความซื่อตรงในการถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ที่เมื่อดูจบแล้วคุณอาจแทบไม่เชื่อว่าภาพศิลปะหนึ่งภาพ จะสามารถส่งอิทธิพลให้แก่ผู้คนจำนวนมากทั้งในทางตรง และทางอ้อมอย่างไม่น่าเชื่อ

สามารถรับชมสารคดี​ The Lost Leonardo ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ White House Plumbers: ซีรีส์สายลับมือสมัครเล่นมาถ่ายทอดได้อย่างบันเทิงครบรสสุดๆ

White House Plumbers คือมินิซีรีส์จาก HBO ผลงานการสร้างสรรค์โดย ปีเตอร์ ฮิวค์ และ อเล็กซ์ เกรกอรี่ ที่เคยมีผลงานอย่าง ซีรีส์ Veep โดยครั้งนี้พวกเขาได้หยิบหนึ่งในคดีที่โดงดังในอเมริกา อย่างคดีวอเตอร์เกตส์ มานำเสนอ หลังจากที่เมื่อปี 1976 เหตุการณ์นี้เคยถูกนำเสนอผ่านมุมมองนักข่าวจากหนังเรื่อง All the President’s Men มาแล้ว แต่ในครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนมาเล่ามุมมองของผู้ก่อเหตุแทน

โดยซีรีส์จะว่าด้วย โฮเวิร์ด ฮันต์ (วู้ดดี้ ฮาร์เรนสัน) อดีตเจ้าหน้าที่ CIA และกอร์ดอน ลิดดี้ (จัสติน เธอรอกซ์) ที่ได้รับมอบหมายจากประธานาธิบดีนิกสัน ให้ทำการจารกรรมข้อมูลต่างๆ ของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม เพื่อสร้างกระแสให้ตัวนิกสัน กลับมาชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่ง ฮันต์ และลิดดี้ ก็ได้รวมทีมนักจารกรรมมือสมัครเล่น ที่ระหว่างภารกิจก็เต็มไปด้วยปัญหา และอุปสรรคมากมาย รวมถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอย่างคดีวอเตอร์เกตส์

แม้ว่าตัวซีรีส์จะสร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกี่ยวกับเกมการแข่งขันทางการเมือง ที่น่าจะเหมาะกับคนที่พอมีพื้นฐานเรื่องการเมืองอเมริกา แต่ White House Plumbers กลับเป็นซีรีส์ที่ดูง่าย และเหมาะก้บคนทุกคนกลุ่ม แม้คนที่ไม่ได้ติดตามการเมืองมากนัก เพราะซีรีส์เลือกที่จะเล่าในมุมของการเป็นหนังสายลับ มากกว่าความเป็นหนังการเมือง

ตัวหนังสนุกในแบบหนังล้อเลียนแนวสายลับ ที่จะพาคนดูไปพบกับการทำภารกิจที่เต็มไปด้วยความผิดพลาด ความตลก ของเหล่าตัวละครหลัก โดยหนังจะถ่ายทอดเรื่องราวการทำจารกรรมในแต่ละภารกิจ ตั้งแต่การแอบติดตามนักการเมืองฝั่งตรงข้าม หรือการพยายามเกลี้ยกล่อมผู้คน ให้ทำตามแผนการ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภารกิจไฮไลท์คือการจารกรรมข้อมูลที่เป็นต้นเหตุของคดีวอเตอร์เกตส์ ที่เต็มไปด้วยความระทึก ซึ่งตัวซีรีส์ก็เลือกที่จะเล่าเหตุการณ์ด้วยการเพิ่มสีสันโดยเพิ่มความเกรียนของการวางแผนที่ขาดความเป็นมืออาชีพของตัวละครที่ดูแล้วทั้งลุ้น ทั้งชวนขำ และเต็มไปด้วยความวายป่วงมากมาย

นอกจากความเป็นหนังจารกรรมที่ซีรีส์ทำออกมาได้อย่างสนุกลงตัวแล้ว White House Plumbers ยังมาพร้อมพาร์ทดราม่าที่ยอดเยี่ยม ซีรีส์สามารถถ่ายทอดชีวิตของสองตัวละครหลักอย่าง ฮันต์ และลิดดี้ ออกมาได้อย่างมีหัวจิตหัวใจ ทั้งนี้ต้องขอชื่นชม วู้ดดี้ ฮาร์เรนสัน และจัสติน เธอรอกซ์ ที่ต่างมีเคมีการแสดงที่เข้ากันลงตัว ทั้งสองสามารถนำเสนอความเป็นคู่หูจารกรรมที่เปี่ยมด้วยมิติ เป็นธรรมชาติ

โดยรวม White House Plumbers เป็นอีกหนึ่งมินิซีรีส์น้ำดีจาก HBO ที่เล่าเรื่องออกมาได้บันเทิงกว่าที่คิด หนังมีทั้งความระทึกขวัญ ดราม่า และคอเมี้ ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ใครที่ชื่นชอบหนังสายลับเกรียนๆ ที่เปี่ยมด้วยความบันเทิง นี่คืออีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์ White House Plumbers ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

How to Become a Cult Leader: ซีรีส์สารคดี

ผลงานซีรีส์สารคดีผลงานจากทีมผู้สร้าง How to Become a Tyrant ที่ในครั้งนี้ยังได้ ปีเตอร์ ดิงค์เลจ (ซีรีส์ Games of Thrones) กลับมารับหน้าที่เป็นผู้เล่าเรื่อง ตามชื่อเรื่องเลย คือในครั้งนี้เปลี่ยนจากการเล่าเรื่องของประวัติศาสตร์เผด็จการ สู่การเล่าเรื่องของเหล่าเจ้าลัทธิอื้อฉาวแทน

How to Become a Tyrant จะเป็นการพูดถึงเรื่องราวของ 6 ผู้นำลัทธิ ได้แก่ ชาร์ลส์ แมนสัน, จิม โจนส์, ไฮมี โกเมซ, มาร์แชล & บอนนี่, โชโก อาซาฮาระ และ มูนซองมยอง ที่ล้วนแต่เป็นเจ้าลัทธิที่สร้างชื่อเสียงอื้อฉาวในช่วง 1970 และบางลัทธิยังสร้างอิทธิพลมาจนทุกทุกวันนี้ ซีรีส์จะพาทุกคนไปพบกับประวัติของการก่อสร้างลัทธิ และวิธีการชักนำผู้คนของคนเหล่านี้ ว่าทำอย่างไรให้มีผู้คนคล้อยตาม

ตัวซีรีส์ How to Become a Cult Leader ยังคงมาพร้อมรูปแบบการเล่าเรื่องเหมือน How to Become a Tyrant คือการเล่าเรื่องที่ให้อารมณ์เหมือนคนดูกำลังอ่านหนังสือแนว How to ผสมประวัติศาสตร์ มีการนำเสนอที่จิกกัดผ่านบทพูด และการตัดต่อ โดยเฉพาะจุดเด่นของซีรีส์ที่ยังคงเป็นงานอนิเมชั่นที่ใช้ประกอบการเล่าเรื่อง ที่ช่วยให้คนดูเห็นภาพเหตุการณ์ชัดเจนตัดสลับกับฟุตเทจจริง

ในด้านเนื้อหาซีรีส์ทำได้ค่อนข้างดี มีข้อมูลทั้งที่คนส่วนใหญ่พอรู้อยู่แล้ว และข้อมูลในรูปแบบที่คุณอาจไม่เคยได้ยินที่ไหน โดยซีรีส์ได้เหล่านักจิตวิทยา นักเขียน และคนที่เป็นอดีตสมาชิกลัทธิ มาร่วมให้สัมภาษณ์ ซึ่งแต่ละคนได้มอบข้อมูลที่แตกต่างกัน ที่น่าชื่นชมคือการเล่าแบบ How to ที่มีการวิเคราะห์ จิตใจและวิธีการของเจ้าลัทธิที่มอบสาระแบบศาสตร์จิตวิทยา ที่ถ่ายทอดออกมาได้น่าสนใจมาก

สำหรับตอนที่ทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากๆ ของซีรีส์ชุดนี้คือ จิม โจนส์ เจ้าลัทธิแห่งโจนส์ทาวน์ และ โชโก อาซาฮาระ เจ้าลัทธิแห่งโอมชินริเกียว ที่เดิมทีเรื่องจริงของทั้งสองลัทธิก็เต็มไปด้วยโศกนาฎกรรมที่น่าสะพรึง และเมื่อซีรีส์นำมาถ่ายทอดผ่านทั้งอนิเมชั่น และฟุตเทจจริง ทำให้เนื้อหาทั้งสองตอนที่มีความน่ากลัว และเข้มข้นมากๆ

ในส่วนของข้อเสียของ How to Become a Cult Leader คือการที่ซีรีส์พยายามทำตามสูตร How to Become a Tyrant มากเกินไป จนทำให้ซีรีส์ชุดนี้ขาดความแปลกใหม่ และยังไม่สามารถเล่าเรื่องได้ดีเท่ากับเรื่องก่อนหน้า หลายตอนซีรีส์เล่าออกมาอย่างรวบรัด มีตอนจบที่ห้วนเกินไป จนผู้ชมได้สาระเรื่องราวไม่ครบอย่างที่ควร

โดยรวม How to Become a Cult Leader ถือว่าเป็นซีรีส์สารคดี ที่ดูง่าย ดูสนุก แบบพอเพลินๆ อาจไม่ได้มีสาระ เนื้อหาที่ลึกล้ำอะไรมาก แต่หากใครที่สนใจเรื่องของลัทธิ หรือยังชื่นชอบการเล่าเรื่องจาก How to Become a Tyrant เรื่องนี้ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชม How to Become a Cult Leader ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Secret Invasion: ซีรีส์จาก Marvel ที่ฉีกธีมเดิมๆ

ผลงานซีรีส์เรื่องล่าสุดจาก MCU ที่ครั้งนี้เป็นการหยิบหนึ่งในอีเวนต์สุดยิ่งใหญ่ของ Marvel มาสร้าง โดยเวอร์ชั่นซีรีส์ได้ ไคล์ แบรดสตรีท (ซีรีส์ Mr,Robot) พร้อมได้ แซมมูแอล แจ็คสัน (Captain Marvel) กลับมารับบท นิค ฟิวรี่ และ เบน เมนเดลเซน (ซีรีส์ The Outsider) กลับมารับบท ทาลอส อีกครั้ง พร้อมเสริมทัพด้วยนักแสดงมากฝีมือ นำโดย เอมิเลีย คลาร์ก (ซีรีส์​ Game of Thrones), โอลิเวีย โคลแมน (The Favourite) และ คิงส์ลีย์ เบน-อาเดียร์ (Barbie)

เรื่องราวของ Secret Invasion จะว่าด้วยโลกมนุษย์ หลังจากที่เหล่ามนุษย์ต่างดาว สโครลล์ ได้เข้ามาลี้ภัยบนโลกมนุษย์ จากความช่วยเหลือของ นิค ฟิวรี่ (แซมมูแอล แจ็คสัน) แต่เมื่อเวลาผ่านไปเหล่าโครลล์ ที่ยังไม่ได้ดาวดวงใหม่ ก็ได้เกิดการก่อกบฎ นำโดย กราวิก (คิงส์ลีย์ เบน-เอเดียร์) ที่ต้องการทำลายโลกมนุษย์ด้วยการปลอมตัวเป็นผู้คน และฮีโร่ จนไม่มีใครแยกออก ฟิวรี่ เลยต้องหาทางหยุดยั้งกราวิก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้

ความน่าสนใจของซีรีส์ Secret Invasion คือความกล้าหาญของ Marvel ที่สร้างซีรีส์ที่ฉีกจากภาพจำของงานก่อนๆ ของหนัง และซีรีส์ MCU ที่ผ่านมา ด้วยเนื้อหาของซีรีส์ที่มาพร้อมโทนที่ซีเรียส จริงจัง มีความเป็นการเมืองสูง และมีฉากการต่อสู้ที่รุนแรง โหดร้าย กว่างาน MCU ที่ผ่านมาทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีความเหมาะสมแก่ผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ มากกว่า

ด้านบทของซีรีส์ทำออกมาได้เป็นอย่างดี ด้วยสไตล์งานของ ไคล์ แบรดสตรีท ที่ยังเล่นประเด็นความการต่อสู้ การก่อกบฎ แบบที่เคยทำใน Mr.Robot ซึ่งในเรื่องนี้จะเป็นการพูดถึงชนกลุ่มน้อยที่ต้องใช้ชีวิตแบบหลบซ่อน จนนำมาสู่การต่อสู้ และล้างแค้น ซึ่งตัวละคร กราวิก ที่เป็นวายร้ายของเรื่องก็สามารถถ่ายทอดอุดมการณ์  และจุดมุ่งหมายได้เป็นอย่างดี จนเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวร้ายที่ยอดเยี่ยมมากๆ ตัวหนึ่งของ MCU

ด้านฉากแอ็คชันในซีรีส์ก็ค่อนข้างไม่เหมือนหนังฮีโร่ทั่วไป โดยใน Secret Invasion จะมาพร้อมฉากบู๊ ไล่ล่า สไตล์หนังสายลับ หนังสงคราม ที่ไม่ได้ขายความเวอร์วัง หรือแฟนตาซี แต่เน้นความโหดร้าย รุนแรง มีฉากการฆ่า การทรมาน ที่น่ากลัว ราวกับหนังเรท R ซึ่งช่วยส่งเสริมให้ความจริงจังของหนังยกระดับขึ้นไปอีก

ด้าน แซมมูแอล แจ็คสัน ก็กลับมารับบท นิค ฟิวรี่ ในมาดที่ต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง จากที่เป็นเพียงตัวละครสมทบ ในเรื่องนี้ ฟิวรี่ ต้องรับบทเป็นตัวเอก ที่มาพร้อมมาดเข้ม ดุ และเต็มไปด้วยฉากดราม่า ชั้นเยี่ยมให้ แจ็คสัน ได้แสดงความสามารถแบบเต็มที่ เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับบท ฟิวรี่ ไปอีกระดับก็ว่าได้

โดยรวม Secret Invasion นับว่าเป็นซีรีส์น้ำดีจาก MCU ที่มาพร้อมบรรยากาศที่ต่างจากงานที่ผ่านมา ด้วยความเป็นหนังการเมืองที่เข้มข้น และฉากแอ็คชันที่โหด ดิบ ดุ พร้อมทั้งยังปูทางไปสู่ผลงานต่อๆ ไปของ MCU ในอนาคต เรียกได้ว่าเป็นงานที่แฟนหนัง Marvel ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

สามารถรับชมซีรีส์ Secret Invasionได้แล้ววันนี้ที่ Disney+ Hotstar

Cr.ภาพ: Disney+ Hotstar

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Sinner season 4: บทสรุปของหนึ่งในซีรีส์สืบสวนน้ำดี

ซีซั่นที่ 4 ของซีรีส์ชุด The Sinner ซึ่งถือว่าเป็นซีซั่นสุดท้ายของซีรีส์สืบสวนชุดนี้ โดยในครั้งนี้ซีรีส์จะเล่าเหตุการณ์หลังจากซีซั่นก่อน หลังจากที่ แฮร์รี่ แอมโบรส (บิล พูลแมน) ได้เกษียณจากอาชีพตำรวจ และได้เดินทางไปพักผ่อน ณ เกาะแห่งหนึ่ง ที่นั่นเขาได้พบกับคดีปริศนาครั้งใหม่ของการหายตัวไปของหญิงสาวคนหนึ่ง ทำให้เขาต้องร่วมมือกับตำรวจของเกาะแห่งนั้นเพื่อตามหาตัวหญิงสาว จนนำมาสู่การพบความจริงอันดำมืดที่เกาะแห่งนี้ซ่อนเอาไว้

ในซีซั่นนี้ยังคงมาพร้อมพลอตและธีมเรื่องตามสไตล์ของ The Sinner เหมือนเดิม ที่จะพูดถึงคดีปริศนา ที่เกี่ยวข้องกับปมปัญหาทางจิตใจ และด้านมืดของมนุษย์ ในซีซั่นนี้ซีรีส์มาพร้อมการปูเรื่องในบริบทที่แตกต่างจากซีซั่นก่อนๆ ด้วยสถานที่ที่เล่าบนพื้นที่ใหม่ ในขณะที่ตัวละคร แฮร์รี่ กลับมาพร้อมบาดแผลในใจ และเปลี่ยนบทบาทจากตำรวจ เป็นเพียงชายชราที่โหยหาการสืบสวนอีกครั้ง

พาร์ทสืบสวนในซีซั่นนี้ทำออกมาได้อย่างสนุกเข้มข้นเหมือนเดิม ครึ่งแรกซีรีส์ปูเรื่องออกมาได้อย่างน่าสนใจ เต็มไปด้วยปมปริศนามากมายที่คนดูคาดเดาไม่ได้ว่าเนื้อหาจะไปทางไหน ทำให้ตลอด 4 ตอนแรกของซีรีส์เต็มไปด้วยความซับซ้อนที่น่าติดตาม ก่อนที่ 4 ตอนหลังของซีรีส์จะค่อยๆ เผยความลับทีละน้อยๆ ที่นอกจากจะเต็มไปด้วยการเฉลยความจริงอันหักมุม ยังเต็มไปด้วยความลุ้นระทึกแบบที่ไม่เคยมีในซีซั่นที่ผ่านมา

ด้านพาร์ทดราม่าในซีซั่นนี้ทำออกมาได้ดีขึ้นไม่แพ้กัน เพราะผู้ชมจะได้เห็นด้านที่อ่อนแอ และปัญหาทางจิตใจของ แอมโบรส ที่ต้องเผขิญกับวิกฤติของคนวัยเกษียณ นอกจากนี้เรื่องราวของตัวเหยื่อในซีซั่นนี้ ก็มาพร้อมปมที่น่าค้นหา น่าติดตาม ซึ่งสามารถผูกโยงเรื่องราวเข้ากับพาร์ทสืบสวนได้อย่างลงตัว

สำหรับส่วนที่น่าเสียดายของซีซั่นนี้คือการที่ซีรีส์ค่อนข้างมีเนื้อหาช่วงท้ายที่ดรอปลงไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่ซีรีส์เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่น่าจะสามารถปูไปสู่เหตุการณ์ที่พีค และเล่นใหญ่ได้มากกว่านี้ แต่ซีรีส์กลับขายพาร์ทดราม่าเป็นหลัก จนนำมาสู่บทสรุปที่ดูธรรมดา และไม่ได้ทรงพลังอย่างที่ควรเท่าไหร่

โดยภาพรวม The Sinner ถือว่าเป็นบทสรุปของซีรีส์สืบสวนน้ำดีอีกเรื่องจาก Netflix ที่ยังรักษามาตรฐานของซีซั่นที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี ตัวซีรีส์ยังเล่นกับปมปริศนาที่ลึกลับ ซับซ้อนน่าติดตาม และแตกต่างจากซีซั่นที่ผ่านมา นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่หากใครเป็นคอซีรีส์สืบสวนไม่ควรพลาดจะต้องหลงรัก

สามารถรับชมซีรีส์ The Sinner ทั้ง 4 ซีซั่นได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The White Lotus season 2: ยังเป็นซีซั่นที่รักษามาตรฐานได้ไม่แพ้ภาคแรก

ซีซั่นที่ 2 ของซีรีส์ Anthology ดราม่าน้ำดีจาก HBO ผลงานการสร้างสรรค์โดย ไมค์ ไวท์ (School of Rock) โดยในครั้งนี้ซีรีส์ได้ทีมนักแสดงนำชุดใหม่มารับบทนำ นำทีมโดย ธีโอ เจมส์ (Divergent), ออเบรย์ พลาซา (Child’s Play), วิล ชาร์ป (ซีรีส์ Gari/Haji), อดัม ดิมาร์โค (ซีรีส์ The Order) และ เจนนิเฟอร์ คอลลิดจ์ (American Pie) ที่กลับมารับบทเดิมจากซีซั่นแรกอีกครั้ง

เนื้อหาในซีซั่นนี้ ยังมาพร้อมคอนเซ็ปต์เดียวกับซีซั่นแรก โดยจะว่าด้วยเรื่องราวช่วงเวลาพักร้อนของหลากครอบครัว หลากผู้คน ที่ได้มาพักที่โรงแรม The White Lotus ซึ่งครั้งนี้ซีรีส์ได้เปลี่ยนโลเคชัน จากฮาวาย มาเป็นเมืองซิซิลี ประเทศอิตาลี ซึ่งการพักร้อนครั้งนี้ก็เต็มไปด้วยเรื่องรักสามเศร้า การค้นหาตัวเอง และมิตรภาพ ที่เหตุการณ์ทุกอย่างค่อยๆ ปานปลายจนนำมาสู่โศกนาฎกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด

ตัวซีรีส์ The White Lotus ซีซั่นนี้จะเล่าเรื่องราวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับในซีซั่นแรก แม้ว่าจะมีการใช้ตัวละครเก่ามาเล่าอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้มีการอ้างอิงจากซีซั่นแรกแต่อย่างใด โดยรูปแบบการเล่าเรื่องยังคงสไตล์เดิม คือการถ่ายทอดชีวิตของเหล่าคนรวยที่เดินทางมาพักร้อน และต่างคนก็มาพร้อมปมปัญหา และจุดมุ่งหมายที่ต่างกันไป

การเล่าเรื่องของซีซั่นนี้ทำออกมาได้อย่างชวนติดตาม โดยประเด็นของซีซั่นนี้จะโฟกัสไปที่ความรักในรูปแบบต่างๆ ทำให้เนื้อหาในซีซั่นนี้ค่อนข้างมีความโรแมนติก และเต็มไปด้วยฉากเลิฟซีนมากกว่าซีซั่นแรก แต่ถึงแม้ว่าหนังจะหนักพาร์ทโรแมนติก ความสนุกของซีรีส์กลับไม่น้อยลงเลย

ตัวซีรีส์ค่อยๆ ไต่ระดับความสนุก ความน่าติดตามในตลอดทั้ง 7 ตอน ได้อย่างมีชั้นเชิง ด้วยการค่อยๆ สร้างสถานการณ์ต่างๆ ที่ชวนกระอักกระอ่วน ไม่น่าไว้วางใจ จนคนดูอยากตคิดตามเรื่องราวไปตลอดเรื่องจนจบซีซั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 2 ตอนท้ายของซีรีส์ที่เต็มไปด้วยจุดพีคมากมายที่ชวนให้หายใจไม่ทั่วท้องไปจนนาทีสุดท้ายของซีรีส์

โดยรวม The White Lotus season 2 คืออีกหนึ่งซีรีส์ Anthology ที่มาตรฐานที่ไม่ตกหล่นจากซีซั่นแรก ซีรีส์สามารถมอบความสนุก ความบันเทิง ที่ไต่ระดับความเข้มข้นในตลอดทั้ง 7 ตอนแบบที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ และจุดหักมุมมากมายที่คนดูคาดเดาไม่ได้ ใครที่เป็นคอซีรีส์ดราม่าน้ำดี ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

สามารถรับชมซีรีส์​ The White Lotus season 2 ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Five Days: ซีรีส์ดราม่า สืบสวน แนวตามหาคนหาย

Five Days เป็นผลงานซีรีส์แนวดราม่า สืบสวนสอบสวน จาก HBO ที่ว่าด้วยเรื่องราวของครอบครัวหนึ่ง ที่มีคุณแม่ และลูกชาย และลูกสาว กำลังเดินทางไปเยี่ยมคุณปู่ทวด ในระหว่างทางผู้เป็นแม่ได้ตัดสินใจแวะระหว่างทางเพื่อทำธุระบางอย่าง แต่ทว่าหลังจากนั้นผู้เป็นแม่ก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งลูกอีกสองคนไว้บนรถ จนเหตุการณ์ทั้งหมดได้ปานปลายนำมาสู่คดีคนหาย ในขณะที่ แมทท์​ (เดวิด โอเยโวโล) สามีของหญิงที่หายไป ก็ต้องรับมือกับสิ่งต่างๆ ทั้งการเป็นพ่อที่ปกป้องลูกๆ รวมทั้งพิสูจน์ความบริสุทธ์ของตนเอง

โดยซีรีส์ Five Days นับว่าเป็นงานที่ชวนให้นึกถึงนิยาย หรือซีรีส์สไตล์ ฮาลาน โคเบน ที่จะพูดถึงการหายตัวไปอย่างปริศนาของบุคคล และกลุ่มตัวละครที่เป็นคนในครอบครัว และคนรอบข้าง ที่ต้องเผชิญกัยสถานการณ์นี้ ซึ่งในเรื่องนี้อาจไม่ได้เป็นซีรีส์แนวสืบสวน ระทึกขวัญจ๋ามากนัก แต่ซีรีส์จะพาคนดูไปสำรวจ และติดตามเรื่องราวผ่านหลากเส้นเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทของคนในครอบครัว, เจ้าหน้าที่ตำรวจ และสื่อมวลชน

ความสนุกของซีรีส์ Five Days คือการที่ซีรีส์เล่าเรื่องโดยโฟกัสช่วงเวลา 5 วัน ได้แก่ วันแรก วันที่สาม วันที่ 28 วันที่ 33 และวันที่ 79 ซึ่งคนดูจะได้รับรู้เหตุการณ์ทั้งหมดไปพร้อมๆ กับตัวละคร และด้วยวิธีการเล่าที่แบ่งออกเป็นหลากเส้นเรื่อง ทำให้ซีรีส์เต็มไปด้วยเนื้อหาหลากรสที่ชวนติดตาม โดยเฉพาะในพาร์ทครอบครัว ที่คนดูจะได้เห็นหลายบริบทที่เกิดขึ้น ทั้งความขัดแย้งระหว่าง พ่อเลี้ยง และลูกติด หรือความสัมพันธ์เชิงชู้สาว ที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

ในขณะที่พาร์ทสืบสวน แม้จะไม่ได้เข้มข้นมาก แต่ก็สามารถทำหน้าที่ควบคู่ไปกับพาร์ทดราม่าได้อย่างลงตัว เราจะได้เห็นการทำหน้าที่ของตำรวจในการรวบรวมความจริง และการทำหน้าที่ของสื่อไปพร้อมๆ กัน ซึ่งตลอดทั้ง 5 ตอนของซีรีส์ก็เรียกได้ว่ามีเซอร์ไพรส์ และจุดหักมุมที่ชวนติดตามในแต่ละตอน แบบที่คนดูไม่คาดคิด

ในส่วนของข้อด้อยซีรีส์ Five Days คือการที่ซีรีส์เล่าเหตุการณ์หลายเส้นเรื่อง หลายตัวละครมากเกินไป จนทำให้เนื้อหาของซีรีส์บางช่วงดูดรอปลงไปพอสมควร โดยเฉพาะในช่วงของ 2 ตอนท้ายของเรื่อง ที่ถูกเล่าอย่างค่อนข้างรวบรัดตัดตอน จนทำให้ซีรีส์มันจบไม่เคลียร์เท่าที่ควร

โดยรวม Five Days เป็นซีรีส์ ที่เล่าเรื่องออกมาได้อย่างสนุก ชวนติดตาม แม้ว่าจะไม่สุดในหลายๆ ด้าน แต่ก็นับว่าเป็นซีรีส์ที่ผสมระหว่างพาร์ทดราม่า และพาร์ทสืบสวนที่ลงตัว มีความครบรส และเค็มไปด้วยเซอร์ไพรส์มากมายที่คนดูคาดเดาเนื้อหาไม่ได้

สามารถรับชมซีรีส์ Five Days ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Idol: งานซีรีส์สุดร้อนแรงจาก HBO

ผลงานซีรีส์จาก HBO ที่สร้างสรรค์โดย แซม เลอวิแทน (ซีรีส์ Euphoria) ที่เรียกได้ว่าเป็นงานที่เต็มไปด้วยปัญหาการสร้างมากมาย ทั้งจากตัวผู้สร้าง และนักแสดงเอง จนทำให้ซีรีส์ได้รับเสียงตอบรับไม่ดีนักจากคนดู และนักวิจารณ์ จนทำให้ซีรีส์ต้องถูกลดตอนจาก 6 ตอน เหลือเพียง 5 ตอนเท่านั้น

เรื่องราวของซีรีส์ The Idol จะว่าด้วย จอสเซลิน (ลิลลี่ โรส เดปป์) นักร้องสาวที่กำลังจะปล่อยผลงานอัลบั้มใหม่ของตัวเอง แต่ทว่าเธอกำลังอยู่ในช่วงที่พึ่งสูญเสียแม่ ทำให้จิตใจของเธอมีความอ่อนไหว เปราะบาง นอกจากนี้ยังมีเรื่องอื้อฉาวมากมายจากรสนิยมเซ็กซ์อันสุดโต่งของเธอ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้พบกับ เทโทรส (เดอะ วีคเอนด์) ชายลึกลับที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคนลึกลับ ที่ได้เข้ามาคบหากับจอส และค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในชีวิต และการทำงานของเธอ

ตัวซีรีส์มาพร้อมความแรงระดับ ฉ20+ โดยเฉพาะเนื้อหาที่พูดถึงฉากเซ็กซ์ในเรื่อง ที่ทำออกมาได้รุนแรง ดิบเถื่อน จนกลายเป็นจุดเด่นกว่าเนื้อหาของซีรีส์ด้วยซ้ำ ซีรีส์พยายามใช้ฉากเหล่านี้เพื่อสะท้อนปมปัญหาบางอย่างของตัวละคร รวมถึงพยายามถ่ายทอดความสัมพันธ์ระหว่าง จอส และเทโทรส แต่น่าเสียดายที่ซีรีส์ไม่สามารถใช้ฉากเหล่านี้ในการสร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้ จนกลายเป็นหนึ่งในจุดบอดที่คนดู และนักวิจารณ์ต่างเบือนหน้าหนี

ด้านการดำเนินเรื่องซีรีส์พยายามสะท้อนภาพชีวิตของศิลปินชื่อดัง ที่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ ผสมกับการพูดถึงการเข้ามามีบทบาทของกลุ่มลัทธิที่นำโดยเทโทรส แต่ด้วยความที่ซีรีส์ต้องลดจำนวนความยาวลงเนื่องจากปัญหาการสร้าง ทำให้ซีรีส์สับสนว่าจะเล่าเนื้อหาไปทิศทางไหน จนทำให้ซีรีส์ไปไม่สุดสักทาง และหาแก่สารที่ต้องการจะสื่อแทบไม่ได้

ด้านการแสดงใน The Idol ต้องขอชื่นชมตัว ลิลลี่ โรส เดปป์ ที่เรียกได้ว่าเป็นคนแบกซีรีส์ไว้โดยแท้จริง แม้บทบาทของเธอจะดูแรง ดูไร้เหตุไร้ผล แต่เธอก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึกตัวละครออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ในขณะที่ทีมนักแสดงคนอื่นๆ หนังกลับใช้งานได้ไม่คุ้มเท่าที่ควร ด้าน เดอะ วีคเอนด์ ที่มาประเดิมงานซีรีส์เรื่องแรก ก็มาพร้อมบทบาทที่ขาดเสน่ห์ ขาดมิติให้คนดูรู้สึกร่วม และส่วนที่น่าเสียดายอย่างยิ่งคือบทของ เจนนี่ แบล็คพิงค์ ที่ถูกลดบทบาทในแต่ละตอนจนแทบไม่มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง

โดยรวม The Idol เป็นงานที่น่าผิดหวังจาก HBO ซีรีส์เต็มไปด้วยปัญหา ทั้งด้านบท การเล่าเรื่อง ตัดต่อ และการแสดง จนทำให้คนดูแทบไม่สามารถรับรู้ได้ว่าแก่นสารของซีรีส์เรื่องนี้คืออะไร และต้องการมอบอะไรแก่ผู้ชม

สามารถรับชมซีรีส์ The Idol ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: HBO

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง 

Categories
series

รีวิวซีรีส์ I’m a Virgo season 1: ซีรีส์ดราม่า ตลกร้าย ที่เล่นกับความแฟนตาซี และความเป็นหนัง Coming of age ได้อย่างลงตัว

ผลงานซีรีส์ดราม่า ตลกร้าย จาก Prime Video ที่เป็นการหันมาสร้างงานซีรีส์เรื่องแรกของ บูทส์ ไรลีย์ (Sorry to Bother You) โดยจะว่าด้วยเรื่องราวของ คูตี้ (จาร์เรล เจอร์โรม) เด็กหนุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับร่างกายที่ใหญ่โตกว่ามนุษย์ทั่วไป ทำให้ครอบครัวของเขาต้องเลี้ยงดูโดยซ่อนเขาไว้เพียงในบ้าน และไม่ให้เจอสังคมจนกว่า คูตี้จะอายุ 21 ปี

แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเด็กหนุ่ม ทำให้ในวัย 18 ปี คูตี้ ได้ออกจากบ้าน และได้เจอกับแก๊งเพื่อนที่ไม่มองว่าเขาแปลกประหลาด ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นกลับนำมาสู่ความวุ่นวายกว่าที่คิด เมื่อคูตี้ได้กลายเป็นไวรัลที่โด่งดังในเมืองจนมีทั้งคนที่รัก และเกลียดเขา เรื่องราวของมิตรภาพ และการต่อสู้เพื่อนความเท่าเทียมก็เริ่มต้นขึ้น

ตัวซีรีส์มาพร้อมการเล่าเรื่องสไตล์ The Boys ที่จะพาคนดูไปพบกับโลกของตัวละครที่เต็มไปด้วยสิ่งแปลกประหลาด และมีรูปแบบการเล่าเรื่องที่ฉีกขนบเดิมๆ ของหนังสูตรสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการจิกกัดหนังฮีโร่ ไปจนถึงการจิกกัดหนังแฟนตาซี ผ่านวีรกรรมต่างๆ ของตัวละคร คูตี้ และผองเพื่อน ที่เต็มไปด้วยความเกรียน ความเหนือจริงแบบที่คนดูคาดเดาไม่ได้

ด้านมุกตลก ซีรีส์จะเน้นไปท่ีมุกตลกของแก๊งผองเพื่อน และคาแรคเตอร์ของตัว คูตี้ที่ค่อนข้างเด่นชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งความละอ่อนเดียงสาของคูตี้ ที่สามารถทำให้คนดูทั้งขำไปกับวีรกรรมซื่อๆ และหลงเสน่ห์ของตัวละครนี้ได้ไม่ยาก ทั้งนี้ต้องขอชื่นชมการแสดงของ จาร์เรล เจอร์โรม ที่ถ่ายทอดบท คูตี้ ออกมทได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ

พาร์ทความแฟนตาซีของซีรีส์ I’m a Virgo นับว่าเป็นอีกจุดขายของเรื่อง เพราะนอกจาก คูตี้ที่มีความเป็นยักษ์ใหญ่ใจดีแล้ว หนังยังสร้างสรรค์ตัวละครเหนือมนุษย์อื่นๆ เข้ามาเพิ่มสีสันให้หนัง ซึ่งในส่วนนี้ได้กลายเป็นจุดแข็งที่ทำให้ซีรีส์มีความหลุดโลกที่พร้อมจะเกิดอะไรก็ได้ทุกเมื่อ แบบทั้งที่คนดูขำออก และขำไม่ออก

โดยรวม I’m a Virgo คือซีรีส์ที่ทำออกมาได้สนุกกลมกล่อม ตัวซีรีส์มีทั้งความดราม่า คอเมดี้ และแอ็คชัน ที่ผสมผสานกันลงตัว มีกลิ่นอายของความเป็นซีรีส์ล้อเลียนฮีโร่แบบ The Boys นอกจากนี้ยังได้ปูทางสู่ซีซั่นต่อๆ ไปได้อย่างน่าติดตาม

สามารถรับชมซีรีส์ I’m a Virgo season 1 ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ Delete season 1: ซีรีส์ไทยพลอตสุดล้ำ สามารถเล่าเรื่องได้อย่างน่าติดตาม

ผลงานซีรีส์ไทยเรื่องล่าสุดจาก Netflix ที่เป็นการร่วมสร้างกับ GDH กำกับ และร่วมเขียนบทโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ (Homestay) พร้อมได้ทีมนักแสดงไทยหน้าใหม่มากฝีมือมาร่วมแสดงนำ ไม่ว่าจะเป็น ณัฏฐ์ กิจจริต (Appwar แอปชนแอป), ฟ้า-ษริกา สารทศิลป์ศุภา (ขุนพันธ์ 3), ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ (One for the Road), ออกแบบ-ชุติมณฑน์ จึงเจริญสุขยิ่ง (Hunger) และ ปีเตอร์-นพชัย ชัยนาม (แสงกระสือ 2)

เรื่องราวของ Delete จะว่าด้วย ลิลลี่ (ฟ้า-ษริกา) และ เอม (ณัฏฐ์ กิจจริต) คู่รักที่แอบคบกันอย่างลับๆ เพราะทั้งสองต่างมีคู่ครองอยู่แล้ว โดย ลิลลี่ ได้เป็นภรรยาของ ทู (ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์) ชายหนุ่มเจ้าของฟาร์มม้าผู้ร่ำรวย และมากอิทธิพล ในขณะที่ทั้ง เอม และลิลลี่ กำลังกังวลว่าความลับเรื่องการคบชู้จะถูกเปิดเผย ลิลลี่ ก็ได้รับมือถือปริศนาจากเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่คุณสมบัติมันคือเพียงถ่ายรูปใคร คนๆ นั้นก็จะหายไป ลิลลี่ และเอม เลยวางแผนที่จะใช้มือถือเครื่องนี้ในการลบคนรักของตน แต่ทว่าได้เกิดเหตุไม่คาดฝันที่นำมาสู่การสืบสวน ไล่ล่าสุดเข้มข้น

ความน่าสนใจของซีรีส์ Delete คือการที่ซีรีส์มาพร้อมพลอตที่มีความเฉพาะตัว มีความเป็นหนังไซไฟ ระทึกขวัญ ที่สามารถเล่นกับเงื่อนไขต่างๆ ของตนเองได้อย่างสนุก น่าติดตาม ชวนให้นึกถึงซีรีส์แนว Black Mirror ประกอบกับความที่ซีรีส์ได้อิสระในการสร้างจาก Netflix ที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาได้อย่างเต็มที่ทั้งความดาร์ก และงานโปรดักชันที่มีคุณภาพกว่าซีรีส์ทีวีทั่วไป

ตัวซีรีส์มีการเล่าเรื่องแบบหลายเส้นเรื่อง หลายมุมมอง เพื่อให้บทบาทของแต่ละตัวละครมีความเท่าเทียมกัน โดยผู้ชมจะได้เห็นทั้งมุมที่ดี และมุมมืดของตัวละครแต่ละตัว ทำให้ในเรื่องแทบไม่มีตัวละครไหนที่ขาว หรือดำสนิท ซีรีส์ได้ใช้มือถือที่ทำให้คนหาย เป็นตัวขับเคลื่อนให้ตัวละครเหล่านั้นแสดงด้านมืด หรือด้านดีออกมา

ในด้านการเล่นกับพลอต มือถือที่ทำให้คนหาย ตัวซีรีส์ก็ใช้งานได้อย่างคุ้มค่า ด้วยการสร้างเงื่อนไข และกฎการใช้งานต่างๆ ที่ทำให้การเล่าเรื่องในแต่ละตอนมีชั้นเชิง ชวนลุ้นระทึกมากยิ่งขึ้น แต่จุดที่เป็นปัญหาคือการที่ในเนื้อหาของซีรีส์ไม่ได้หาจุดเฉลยที่มาของมือถือ ราวกับต้องการทิ้งปมไว้สำหรับซีซั่นต่อๆ ไป

นอกจากนี้พาร์ทสืบสวนของซีรีส์ Delete ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่แพ้ซีรีส์ตะวันตก ตัวซีรีส์ได้ปูปมปริศนา และสอดแทรกสิ่งของ หรือหลักฐาน ที่นำพาไปสู่การไขคำตอบที่ชวนตื่นเต้น และหักมุมมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายของเรื่องที่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์แบบที่คอหนังสืบสวนน่าจะชื่นชอบไม่น้อย

โดยรวม Delete เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ไทยคุณภาพ ที่มาพร้อมพลอตที่แปลกใหม่ การดำเนินเรื่องที่สนุก ชวนลุ้น จนอยากดู 8 ตอนรวดเดียวจบ พร้อมทั้งปูตอนจบสุดค้างคา ที่ชวนให้คนดูไปลุ้นกันต่อในซีซั่นที่ 2

สามารถรับชมซีรีส์ Delete ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวสารคดี The Lost Leonardo: สารคดีที่เล่าเรื่องราวของภาพ ซัลวาดอร์มุนดิ ออกมาได้ครบรส

หากพูดถึง ลีโอนาร์โด ดาวินชี่ เชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก โดยเฉพาะในแง่ของศิลปะ ที่ ดาวินชี่ คือหนึ่งในบุคคลสำคัญจากยุคเรเนอซองค์ ที่ผู้คนทั่วโลกต่างให้การยอมรับ ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้หนึ่งในภาพวาดของ ดาวินชี่ ที่ได้เป็นกระแสในวงกว้างคือ ซัลวาดอร์ มุนดิ หนึ่งในภาพวาดที่ (เชื่อว่า) เป็นผลงานของ ดาวินชี่ ที่สูญหายไปกว่าร้อยปี แต่ถูกค้นพบอีกครั้ง พร้อมถูกบูรณะใหม่

The Lost Leonardo คือผลงานหนังสารคดีที่กำกับโดย อังเดรียส โคฟอร์ด ที่นำเสนอเรื่องราวของภาพวาด ซัลวาดอร์ มุนดิ ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบภาพวาดชิ้นนี้ ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ที่ชวนน่าค้นหามากมาย และการชื่นชมผลงานนี้ในฐานะงานศิลปะจากสุดยอดศิลปิน ซึ่งความที่ ซัลวาดอร์ มุนดิ เต็มไปด้วยปูมหลังที่ไม่ธรรมดานี่เอง ทำให้ภาพนี้ได้ถูกโยงสู่เรื่องการเมือง และการแย่งชิงมากมาย ที่ส่งผลให้ภาพวาดนี้มีราคาถึง 400 ล้านเหรียญฯ

ด้วยความที่ตัวเรื่องราวของภาพวาดเต็มไปด้วยมิติต่างๆ ที่น่าสนใจ น่าค้นหา ทำให้ The Lost Leonardoท เป็นมากกว่าสารคดีศิลปะ ที่สัมภาษณ์ผู้คน และชื่นชมความงามเพียงอย่างเดียว แต่ในเรื่องนี้ผู้ชมจะได้ไปร่วมค้นหาคำตอบ และทฤษฎีมากมายที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดนี้ พร้อมทั้งยังมีการนำเสนอสงครามการแย่งชิงภาพวาดนี้ของเหล่าคนมหาเศรษฐี ผู้มีอำนาจ ที่นำมาสู่เหตุการณ์สุดเข้มข้นมากมาย

ในด้านการเล่าเรื่อง The Lost Leonardo ได้รวบรวมบทสัมภาษณ์ของเหล่าผู้คนในวงการศิลปะทั่วโลก มาร่วมถกเถียงถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับภาพวาด ซึ่งเต็มไปด้วยการถกประเด็นต่างๆ ที่สนุก เข้มข้น เคล้าด้วยสาระความรู้ตามสูตรของหนังสารคดี

แต่ส่วนที่เกินคาดมากๆ ของสารคดีเรื่องนี้คือ การโยงประเด็นการเมืองที่เข้ามามีบทบาทต่อภาพวาดนี้ ไม่ว่าจะเป็น การครอบครองภาพวาดนี้โดยผู้มีอำนาจของรัสเซีย ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนมือมาสู่เจ้าของใหม่คือเจ้าชายซาอุฯ ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญให้กับภาพวาดนี้มาจนทุกวันนี้ ที่น่าชื่นชมคือผู้สร้างสารคดีได้ถ่ายทอดประเด็นต่างๆ ออกมาแบบกำลังดี ทำให้ได้ส่วนผสมของสาระความรู้ และความบันเทิง ที่ลงตัวกำลังดี

หากใครที่ชื่นชอบ ดาวินชี่ หรือเรื่องราวศิลปะที่เต็มไปด้วยสาระ เบื้องหลัง ที่น่าลึกลับ น่าสนใจ The Lost Leonardo คืออีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาด ตัวสารคดีผสมผสานความเป็นสารคดีความรู้ และความบันเทิง ความซื่อตรงในการถ่ายทอดเหตุการณ์ต่างๆ ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ที่เมื่อดูจบแล้วคุณอาจแทบไม่เชื่อว่าภาพศิลปะหนึ่งภาพ จะสามารถส่งอิทธิพลให้แก่ผู้คนจำนวนมากทั้งในทางตรง และทางอ้อมอย่างไม่น่าเชื่อ

สามารถรับชมสารคดี​ The Lost Leonardo ได้แล้ววันนี้ที่ Prime Video

Cr.ภาพ: Prime Video

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์​ Dr. Death: ซีรีส์สร้างจากเรื่องจริง ของศัลยกรรมแพทย์ที่ถูกสงสัยว่าคือสาเหตุของการตาย และพิการของคนไข้มากมาย

Dr. Death เป็นผลงานซีรีส์จากช่อง Peacock ที่สร้างจากคดีจริงของ ศัลยกรรมแพทย์ ที่ถูกต้องสงสัยว่าเป็นสาเหตุการพิการ และการตายของคนไข้จำนวนมาก ซึ่งเวอร์ชั่นซีรีส์​ได้ แพทริค แมคมานัส (ซีรีส์ Homcoming) มารับหน้าที่สร้างสรรค์ พร้อมได้ทีมนักแสดงมากฝีมือมาร่วมแสดงนำ นำทีมโดย โจชัว แจ็คสัน (ซีรีส์ Fatal Attraction), คริสเตียน สเลเทอร์ (ซีรีส์ Mr.Robots) และ อเล็กซ์ บาลวิน (Tár)

ซีรีส์จะพาคนดูไปพบกับเรื่องราวของ ดร.แรนดัล เคอร์บี้ (คริสเตียน สเลเทอร์) และ ดร.โรเบิร์ต แฮนเดอร์สัน (อเล็กซ์ บาลวิน) สองแพทย์จากดัลลัส ที่เกิดสงสัยในตัว คริสโตเฟอร์ ดันท์ (โจชัว แจ็คสัน) ศัลยกรรมแพทย์ ที่ถูกคนไข้ และหมอด้วยกันคิดว่าเขาคือสาเหตุที่ทำให้คนไข้มากมายต้องตาย หรือพิการ ทั้งสองแพทย์เลยต้องร่วมก้นสืบหาความจริงของ ดันท์ และเอาผิดหมอแห่งความตายผู้นี้

ความน่าสนใจของ Dr. Death คือเป็นซีรีส์ที่หยิบความเป็นเรื่องจริง มาผสมผสานก้บเรื่องแต่ง ออกมาได้อย่างลงตัว จนทำให้ตลอดความยาวของซีรีส์ชุดนี้ เหมือนพาคนดูไปพบกับซีรีส์อาชญากรรมน้ำดี ที่ดูสนุก ชวนลุ้นระทึก ไม่ต่างจากซีรีส์ชุด American Crime Story ของไรอัน เมอร์ฟี่ เลยก็ว่าได้

ในแง่ของพาร์ทสืบสวนซีรีส์ทำออกมาได้ค่อนข้างดี เป็นการหยิบตัวละครหมอ มารับบทนำในฐานะนักสืบ แม้ว่าการวิธีการสืบจะเต็มไปด้วยความตะกุกตะกัก ไม่ได้ดูเป็นมืออาชีพมากนัก แต่ด้วยเคมีของ อเล็กซ์ บาลวิน และคริสเตียน สเลเทอร์ ที่เข้าคู่กันราวกับเป็นคู่หูนักสืบมืออาชีพ และวิธีการสืบสวนที่สมจริง ส่งผลให้พาร์ทสืบสวนของเรื่องนี้เป็นไปอย่างน่าติดตามในตลอดทั้ง 8 ตอน

นอกจากพาร์ทสืบสวนแล้ว ตัวซีรีส์ยังได้เล่าตัดสลับกับเส้นเรื่องอดีตของ คริสโตเฟอร์ ดันท์ ที่พูดถึงจุดเริ่มต้นในวิขาชีพการแพทย์ และไทม์ไลน์ชีวิตที่ส่งผลให้เขากลายเป็นหมอแห่งความตาย ที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม ความหลงตัวเอง และปัญหาครอบครัว น่าเสียดายที่ในพาร์ทนี้ซีรีส์เล่าแต่มุมดาร์กๆ ของ ดันท์ แต่กลับไม่ได้พูดถึงเหตุและผลความเลวร้ายของตัวละครเท่าไหร่นัก

ในส่วนของข้อเสียซีรีส์​ Dr. Death คือการที่ซีรีส์เล่าเนื้อหาตลอด 8 ตอนได้ค่อนข้างยืดยาวจนเกินจำเป็น ซีรีส์พยายามโฟกัสที่พาร์ทดราม่าของ ดันท์ จนพาร์ทสืบสวนไม่ค่อยเดินหน้าเท่าไหร่นัก จนทำให้ในระหว่างตอน มีฉากที่ชวนง่วงเหงาหาวนอนค่อนข้างเยอะ และทำให้ซีรีส์ไปได้ไม่สุดในทั้งด้านดราม่า ระทึกขวัญ หรือสืบสวน อย่างที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม Dr.Death นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์สร้างจากเรื่องจริง ที่หยิบเรื่องของหมอออกมาได้สนุก ซีรีส์เต็มไปด้วยฉากผ่าตัดที่ชวนหวาดเสียว และพาร์ทสืบสวนที่ชวนติดตาม แม้ว่าจะมีช่วงที่น่าเบื่อไปบ้าง แต่หากใครที่ชอบซีรีส์สืบสวน หรือหนังที่สร้างจากคดีจริง แนะนำว่าไม่ควรพลาด

สามารถรับชมซีรีส์​ Dr. Death ได้แล้ววันนี้ที่ HBO Go

Cr.ภาพ: IMDB

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง

Categories
series

รีวิวซีรีส์ The Days: มินิซีรีส์จากญี่ปุ่นที่สร้างจากเหตุการณ์จริงสุดระทึก

ผลงาน Limited Series สัญชาติญี่ปุ่นจาก Netflix ที่ครั้งนี้เป็นงานที่ดัดแปลงจากเหตุการณ์จริงเมื่อปี 2011 ในช่วงที่ญี่ปุ่นได้เกิดเหตุแผนดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุด และได้เกิดสึนามิพัดเข้าชายฝั่งบริเวณโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ซึ่งจากความเสียหายดังกล่าวทำให้เกิดความรั่วไหลของรังสีนิวเคลียร์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่โรงงานไฟฟ้าในขณะนั้นต้องร่วมกันใช้เวลานานกว่า 7 วันหาทางยับยั้งความเสียหานครั้งนี้ ที่อาจส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นเชอร์โนบอลแห่งที่สองได้

The Days นับว่าเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ภัยพิบัติจากญี่ปุ่นที่มาพร้อมงานโปรดักชันระดับเทียบเท่าหนังใหญ่ และการเล่าเรื่องที่เน้นความสมจริงไม่แพ้หนังฮอลีวูด โดยตลอดทั้ง 8 ตอนของซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นการพาคนดูไปสำรวจกับช่วงเวลาทั้ง 7 วันของเจ้าหน้าที่โรงงานไฟฟ้า ที่ต้องทำภารกิจเสียสละเพื่อชาติ อย่างละเอียดผ่านทุกมุมมองที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ระดับปฎิบัตืการณ์, ผู้จัดการโรงงาน ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี

งานโปรดักชันซีรีส์สามารถถ่ายทอดฉากภัยพิบัติออกมาได้อย่างสมจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉากทำภารกิจชวนระทึกในโรงงานไฟฟ้า ที่ทำออกมาได้อย่างละเอียด เก็บทุกดีเทลล์ ชวนให้นึกถึงซีรีส์อย่าง Chernobyle ของ HBO ที่เคยทำให้คนดูเคยหวาดกลัวกับอันตรายของรังสีนิวเคลียร์มาแล้ว ในเรื่องนี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

จุดเด่นของซีรีส์ The Days คือวิธีการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยบทสนทนา อละศัพท์วิยาศาสตร์มากมาย แต่ซีรีส์สามารถถ่ายทอดให้คนดูสามารถเข้าใจถึงบริบทของเรื่องได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้การสนทนาในเรื่องยังถ่ายทอดถึงรูปแบบการทำงาน และการรับมือภัยพิบัติของคนญี่ปุ่น ที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด รวมถึงสะท้อนอุดมการณ์ความเป็นชาตินิยมของเหล่าตัวละครที่พร้อมเสียสละตนเองเพื่อประเทศชาติ ที่สร้างอารมณ์ร่วมกับคนดูได้เป็นอย่างดี

อีกหนึ่งสิ่งที่น่าชื่นชมของซีรีส์ชุดนี้คือการที่ซีรีส์เลือกทีมนักแสดงส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่ดาราดัง ที่เพิ่มความสมจริงให้ซีรีส์ชุดนี้มากขึ้นไปอีก ซึ่งทีมนักแสดงทั้งตัวละครหลัก และสมทบต่างก็ถ่ายทอดบทบาทออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ราวกับว่าผู้ชมกำลังได้เห็นการทำงานของผู้คนในเหตุการณ์นั้นจริงๆ

ในด้านข้อเสียของซีรีส์ คือความยาว 8 ตอนที่ค่อนข้างยืดยาวเกินจำเป็นไปพอสมควร แม้ว่าซีรีส์จะพยายามใส่ทุกดีเทลล์ที่ควรมี แต่ด้วยการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยบทสนทนาที่เน้นด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้คนดูอาจเข้าถึงเนื้อหาทั้งหมดได้ยาก จนทำให้ระหว่างเรื่องของบางตอนค่อนข้างน่าเบื่อไปบ้าง

อย่างไรก็ตาม The Days ก็นับว่าเป็นซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงของญี่ปุ่น ที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยมไม่แพ้ Chernobyle ซีรีส์สามารถนำเสนอเหตุการณ์ภัยพิบัติผ่านทุกรายละเอียด รวมถึงการมอบบทสรุปที่ชวนจุกอกต่อคนดูได้ไม่น้อย ใครที่ชอบซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริง เนื้อหาเข้มๆ ดาร์กๆ นี่เป็นอีกเรื่องที่ขอแนะนำ

สามารถรับชมซีรีส์ The Days ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix

Cr.ภาพ: Netflix

อัพเดทซีรีส์น่าดู และมาแนะนำ รีวิว series ทั่วทุกมุมโลกผ่าน series-nime.com กันทุกสัปดาห์ และติดตามผ่าน Page Facebook ที่ รวมพลคนบันเทิง